ดัชนีฮั่งเส็ง วันนี้: เจาะลึกปัจจัยผันผวน ตลาดหุ้นฮ่องกงยังน่าลงทุนไหม?

เอาล่ะครับ มาเริ่มต้นเขียนคอลัมน์การเงินแบบบ้านๆ แต่เน้นสาระเกี่ยวกับ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ กันดีกว่า เหมือนนั่งจิบกาแฟคุยกันเรื่องตลาดหุ้นฮ่องกง ที่หลายคนอาจจะเห็นตัวเลขวิ่งไปมาแล้วสงสัยว่า “เอ๊ะ มันคืออะไรกันแน่?”

เริ่มต้นอย่างนี้ดีกว่าครับ… เคยไหมครับ เวลาเปิดดูข่าวหรือแอปฯ การเงิน แล้วเห็นตัวเลขหนึ่งที่ชื่อว่า “ดัชนีฮั่งเส็ง” (Hang Seng Index) บางวันก็พุ่งปรี๊ด บางวันก็ดิ่งเหว ยิ่งช่วงนี้ด้วยแล้ว บางทีก็รู้สึกว่ามันเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ เหมือนอากาศบ้านเรานั่นแหละครับ ที่คาดเดายากเสียเหลือเกิน ตัวเลขนี้สำคัญยังไง แล้วมันบอกอะไรเราได้บ้าง โดยเฉพาะ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ ที่เรากำลังจะคุยกันเนี่ย

พูดง่ายๆ เลยนะครับ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ก็เหมือน “สมุดพก” หรือ “รายงานสุขภาพ” ของตลาดหุ้นฮ่องกงนั่นแหละครับ ไม่ใช่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็นการรวมเอาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลมากๆ ในฮ่องกงมารวมกัน แล้วคำนวณออกมาเป็นตัวเลขเดียว เพื่อบอกภาพรวมว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นยังไงบ้าง สุขภาพดีขึ้น แย่ลง หรือทรงตัว

ดัชนีตัวนี้มีมานานแล้วนะครับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โน่นแน่ะ โดยคุณ กวน ชื่อกวง หรือที่รู้จักในนาม สแตนลีย์ กวน เป็นคนคิดค้นขึ้นมา ดัชนีนี้ไม่ได้นับทุกบริษัทในตลาดนะครับ แต่เลือกเอาเฉพาะบริษัทที่มีขนาดใหญ่มากๆ โดยใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization-weighted index) หมายความว่า บริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าตลาดเยอะ การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นของบริษัทนั้นก็จะส่งผลต่อตัวเลขดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) มากกว่าบริษัทเล็กๆ ครับ เหมือนในห้องเรียนนั่นแหละ คะแนนสอบวิชาหลักก็มักจะมีน้ำหนักมากกว่าวิชารองใช่ไหมครับ

ปัจจุบันนี้ จำนวนบริษัทที่อยู่ในดัชนีก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเกณฑ์การคัดเลือกนะครับ เคยมีข้อมูลระบุว่ามี 40 บริษัท และล่าสุดก็มีถึง 83 องค์ประกอบที่รวมอยู่ในดัชนีนี้ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมๆ ของตลาดหุ้นฮ่องกงไปกว่า 65% เลยทีเดียว การดูแลและบริหารดัชนีนี้ก็เป็นหน้าที่ของ บริษัท ดัชนีฮั่งเส็ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคารฮั่งเส็ง (Hang Seng Bank) อีกทีครับ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) นั่นเอง

ทีนี้ มาดูกันที่ตัวเลข ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ กันบ้างครับ ข้อมูลล่าสุด (อิงจากแหล่งข้อมูลช่วงเดือนกรกฎาคม 2567) แสดงให้เห็นว่า ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ปิดอยู่ที่ 17,799.61 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงไป 228.67 จุด หรือประมาณ -1.27% เมื่อเทียบกับราคาปิดวันก่อนหน้าคือ 18,028.28 จุด ราคาเปิดของวันนี้อยู่ที่ 18,035.77 จุด และระหว่างวัน ดัชนีก็แกว่งตัวอยู่ในช่วง 17,799.61 จุด ถึง 18,105.01 จุด ปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ราวๆ สองพันแปดร้อยล้านกว่าหุ้น

ถ้าลองมองย้อนไปในช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นว่า ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) มีช่วงที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 20,361.03 จุด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 14,794.16 จุด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 การที่ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ อยู่ที่ระดับ 17,xxx จุดนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาพอสมควรเลยครับ

ลองเทียบกับตัวเลขจากช่วงก่อนหน้านี้สักหน่อย (อิงจากแหล่งข้อมูลช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566) ตอนนั้น ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) อยู่ที่ประมาณ 23,xxx จุด ซึ่งสูงกว่าปัจจุบันเยอะเลยครับ แสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ดัชนีได้ปรับตัวลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าถ้ามองจากต้นปี 2567 มาถึงช่วงกรกฎาคมนี้ ดัชนีจะมีการปรับตัวขึ้นมาราว +4.41% ก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับ 1 ปีที่แล้ว (กรกฎาคม 2566) ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ กลับยังติดลบอยู่ประมาณ -6.86% ครับ

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเราครับ? มันบอกว่าตลาดหุ้นฮ่องกงมีความผันผวนสูงเอาเรื่อง และในช่วงที่ผ่านมาก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายอยู่มาก แม้ว่าในบางช่วงจะมีการฟื้นตัว แต่ภาพใหญ่ในรอบปียังถือว่าปรับตัวลงอยู่ครับ

คุณอาจจะถามว่า “ทำไม ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) มันถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ล่ะ?” คำตอบคือ มันมีหลายปัจจัยมากๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องครับ เหมือนรสชาติชีวิต ที่ไม่ได้มีแค่หวานอย่างเดียว แต่มีทั้งเปรี้ยว เค็ม ขม ผสมกันไป มาดูกันปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) กันครับ

**1. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน:** อันนี้ถือเป็นปัจจัยระดับ “มหากาพย์” เลยครับ เพราะฮ่องกงเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับตลาดโลกมานาน ความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรยากาศการลงทุนในฮ่องกง ข่าวดีเกี่ยวกับการเจรจาที่คืบหน้า หรือการบรรลุข้อตกลง ก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจให้ตลาดหุ้นปรับขึ้น แต่ในทางกลับกัน ข่าวร้าย มาตรการภาษีที่เพิ่มขึ้น หรือคำตัดสินของศาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ก็ทำให้ตลาดร่วงได้เหมือนกันครับ เหมือนเล่นชักเย่อ ถ้าฝั่งหนึ่งดึงแรง อีกฝั่งก็ต้องเหนื่อยหน่อย ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ก็เหนื่อยตามไปด้วยครับ

**2. ท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และญี่ปุ่น:** เรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” เนี่ย เป็นประเด็นใหญ่มากๆ ครับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) หรือ Fed ที่เราเรียกกันติดปากนี่แหละ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมหาศาล นักลงทุนจะคอยจับตาดูการประชุม รายงานต่างๆ ของ Fed เพื่อหาเบาะแสว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกไหม หรือจะลดลงเมื่อไหร่ เพราะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหมายถึงต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ สูงขึ้น ทำให้กำไรอาจจะลดลง และทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือลงทุนในพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นครับ ความกังวลว่า Fed จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ ก็เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น รวมถึง ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ด้วย

ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan – BoJ) ก็มีบทบาทในภูมิภาคนี้ครับ อย่างที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา BoJ ก็มีการเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉินเพื่อควบคุมผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของตัวเองไม่ให้พุ่งสูงเกินไป การกระทำของ BoJ ก็ส่งผลต่อสภาพคล่องและบรรยากาศการลงทุนในเอเชียได้เช่นกัน

**3. สุขภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน:** ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) เป็นเหมือน “มาตรวัด” สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนอย่างหนึ่งด้วยครับ เพราะบริษัทจีนขนาดใหญ่หลายแห่งก็ไปจดทะเบียนและซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) หรือตัวเลขเงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เหล่านี้ ล้วนมีผลต่อการประเมินแนวโน้มกำไรของบริษัท และส่งผลต่อราคาหุ้นครับ หากมีสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หรือเศรษฐกิจจีนไม่เติบโตตามคาด ก็จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นฮ่องกงครับ

**4. สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์:** ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลาง หรือที่ไหนก็ตามบนโลกนี้ ล้วนเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงิน นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยง (Risk-off) โดยการขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกไป ทำให้ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) และตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกปรับตัวลงครับ

**5. นโยบายภายในของฮ่องกงและจีน:** นโยบายเฉพาะจุดของรัฐบาลฮ่องกงเอง หรือของจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ส่งผลโดยตรงครับ อย่างงบประมาณของฮ่องกงที่ออกมา บางทีก็ถูกมองว่ายังไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะฟื้นฟูสถานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน แผนการผ่อนคลายข้อจำกัดในการซื้อบ้านในเมืองใหญ่ๆ ของจีน อย่างเช่นที่ กว่างโจว ก็เป็นข่าวดีต่อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในฮ่องกงได้ครับ

นอกจากนี้ ตลาด IPO (Initial Public Offering) หรือการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรกในฮ่องกง ก็มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม และประเด็นน่าสนใจอีกอย่างคือ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง กำลังพิจารณาอนุญาตให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถให้บริการแก่นักลงทุนรายย่อยได้ นี่ก็เป็นอีกปัจจัยใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนครับ

ถ้ามองภาพรวมตลาดหุ้นในภูมิภาคและทั่วโลกในช่วงล่าสุด (กรกฎาคม 2567) ก็จะเห็นว่า ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ปรับตัวลง ตามบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก มีเพียงตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับขึ้นเล็กน้อยหลังจากทำจุดสูงสุดใหม่แต่ก็ลดช่วงบวก ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันก็ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าตลาดแต่ละแห่งก็มีปัจจัยขับเคลื่อนของตัวเอง แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากภาพใหญ่ด้วยครับ

ลองย้อนไปดูช่วงที่มีแหล่งข้อมูลเก่าหน่อย (กุมภาพันธ์ 2566) ตอนนั้นตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียก็ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งบางช่วงเจอแรงเทขายอย่างรุนแรง เป็นวันที่แย่ที่สุดในรอบหลายเดือน ดัชนีความผันผวน (VIX) หรือที่นักลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ชอบเรียกเล่นๆ ว่า “มาตรวัดความกลัว” ก็ปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนเริ่มกังวลมากขึ้นครับ นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ตลาดต่างๆ เชื่อมโยงกัน และความกังวลในตลาดหนึ่งมักจะส่งผลไปยังตลาดอื่นๆ ครับ

สำหรับนักลงทุนในไทยที่ติดตาม ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) อาจจะสงสัยว่า แล้วตลาดบ้านเราเป็นยังไงบ้าง? ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ไทยล่าสุดก็แสดงให้เห็นว่า ดัชนีสำคัญๆ อย่าง SET, SET50, SET100, mai ฯลฯ ก็มีการปรับตัวทั้งในแดนบวกและแดนลบแตกต่างกันไปในแต่ละวันครับ ตลาดหุ้นไทยก็มีปัจจัยภายในประเทศของตัวเองขับเคลื่อนอยู่ ทั้งเรื่องการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ จีน และในภูมิภาค ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทิศทางการลงทุนในไทยด้วยครับ

ดังนั้น การทำความเข้าใจกับ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา ก็มีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับนักลงทุนไทยในการมองภาพรวมและประเมินความเสี่ยงครับ

มองในเชิงเทคนิค (อิงจากแหล่งข้อมูล กุมภาพันธ์ 2566) เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ดูกราฟหุ้น อย่าง Oscillators หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) บางตัวก็ให้สัญญาณ “เป็นกลาง” บางตัวก็ให้สัญญาณ “ขายแรง” (Strong Sell) ในกรอบเวลารายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งบอกว่าภาพรวมทางเทคนิคในขณะนั้นยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน หรือค่อนข้างอ่อนแรง นี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่นักลงทุนสายเทคนิคให้ความสำคัญครับ

ลองนึกภาพว่า ถ้าเรากำลังจะเดินทางไกล การรู้สภาพอากาศล่วงหน้า การรู้สภาพถนน การรู้ว่ารถอาจจะติดตรงไหน จะช่วยให้เราวางแผนการเดินทางได้ดีขึ้นใช่ไหมครับ การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ก็เหมือนกับการเตรียมตัวก่อนการลงทุนในตลาดที่เชื่อมโยงกับฮ่องกงและจีนครับ

สำหรับคนที่สนใจอยากจะติดตามหรืออาจจะลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างฮ่องกง ก็มีแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศหลายแห่งที่ให้บริการครับ ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ก็มักจะเสนอบริการและเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลาย ให้นักลงทุนสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม เพื่อเข้าถึงตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกงด้วยครับ

สรุปแล้ว ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) วันนี้ ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขที่ลอยๆ อยู่บนหน้าจอ แต่เป็นตัวแทนของเรื่องราวมากมาย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายต่างๆ และความรู้สึกของนักลงทุนทั่วโลก มันขึ้นๆ ลงๆ ตามปัจจัยเหล่านี้แหละครับ การทำความเข้าใจมัน ก็เหมือนการอ่านเกมของตลาดที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า คือการ “ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ” ก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าเพิ่งเชื่อตามข่าวลือ หรือตามแห่ไปกับคนอื่น ลองทำความเข้าใจว่าปัจจัยต่างๆ ส่งผลอย่างไร มองภาพรวมระยะยาว และที่สำคัญ ต้องเข้าใจว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” เสมอครับ เงินของเรา ควรจะใช้ไปกับการลงทุนที่เราเข้าใจมันดีที่สุด

⚠️ หากสภาพคล่องทางการเงินของท่านไม่สูง หรือเงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ควรประเมินสถานการณ์และความเสี่ยงอย่างรอบคอบมากๆ ก่อนตัดสินใจนะครับ การลงทุนในตลาดหุ้นที่ผันผวนอย่างฮ่องกงอาจจะไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไป

Leave a Reply