ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง: จับตาสัญญาณเตือน, โอกาสลงทุน?

เคยลองสังเกตตัวเลขวิ่งๆ บนหน้าจอข่าวการเงิน หรือแอปหุ้นกันไหมครับ? ตัวเลขหนึ่งที่เราเห็นบ่อยๆ ถ้าพูดถึงตลาดเอเชีย โดยเฉพาะตลาดฮ่องกง นั่นก็คือ “ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง” (Hang Seng Index หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า HSI) มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ แต่เปรียบเสมือน ‘รายงานสุขภาพ’ ของบรรดาบริษัทใหญ่ๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange หรือ HKEX) เลยทีเดียว คิดง่ายๆ คือ ถ้าบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ทำมาค้าขึ้น มีผลประกอบการดี ราคาหุ้นดีขึ้น ดัชนีตัวนี้ก็จะขึ้นตามครับ

ดัชนีฮั่งเส็ง ถือเป็นหัวใจหลัก เป็นมาตรวัดสำคัญที่สะท้อนภาพรวมผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีนี้เขาใช้วิธีคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าราคาตลาด (Market Capitalization-weighted) หมายถึง บริษัทไหนมีขนาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) เยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากหน่อยครับ ปัจจุบัน ดัชนีฮั่งเส็ง ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่กว่า 80 แห่ง ซึ่งครอบคลุมสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงกว่า 65-67% เลยนะ เยอะมากๆ ใช่ไหมล่ะ?

ถ้าดูข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 เมษายน 2568 จากแหล่งข่าวอย่าง Investing.com และ Moneycontrol ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดอยู่ที่ 23,202.53 จุด มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมากๆ แค่ -0.02% เท่านั้นเองครับ ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา? บอกว่าในช่วงเวลานั้น ตลาดหุ้นฮ่องกงโดยรวมค่อนข้างนิ่งๆ ไม่ได้ผันผวนรุนแรงในวันนั้น แต่การจะเข้าใจว่าทำไมตัวเลขนี้ถึงอยู่ที่ระดับนี้ และแนวโน้มต่อไปจะเป็นอย่างไร ต้องมองไปที่ปัจจัยรอบด้านครับ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องในฮ่องกงอย่างเดียวนะครับ แต่มีปัจจัยทั้งในบ้านเขาเอง และปัจจัยจากข้างนอกบ้านนี่แหละ ที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของ ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง

แล้วไอ้ตัวเลข “ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง” เนี่ย อะไรบ้างล่ะที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้มันขึ้นๆ ลงๆ ได้? บอกเลยว่าซับซ้อนกว่าที่เราคิดครับ ปัจจัยนอกบ้านที่สำคัญสุดๆ ตอนนี้เรื่องหนึ่ง ก็คือ “อัตราดอกเบี้ย” นี่แหละครับ เวลาธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก อย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘เฟด’ – Fed) หรือแม้แต่ ธนาคารกลางยุโรป เขาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนี่ย มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เลยครับ เพราะต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและต้นทุนทางการเงินโดยรวมมันสูงขึ้น ทำให้บริษัทก็อาจจะกำไรน้อยลงในอนาคต นักลงทุนก็อาจจะมองว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยคงที่อย่างพันธบัตร หรือแม้แต่การฝากเงิน ดูน่าสนใจและปลอดภัยกว่า แทนที่จะเอาเงินมาเสี่ยงในตลาดหุ้น ทำให้แรงเทขายหุ้นเกิดขึ้นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นในยุโรปและเอเชีย ซึ่งก็มักจะปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไปด้วยตามกันครับ

ที่ผ่านมา เฟดเองก็เพิ่งมีการประชุมและตัดสินใจ ‘ขึ้นอัตราดอกเบี้ย’ ไป 0.25% ซึ่งตลาดก็ยังคงกังวลว่าแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นจากธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก อาจจะยังไม่จบง่ายๆ นะสิครับ เพราะหลายๆ ประเทศยังต้องต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อนี้ ความกังวลว่าดอกเบี้ยจะยังคงปรับขึ้นเรื่อยๆ หรืออยู่ในระดับสูงไปอีกนาน (Higher for Longer) นี่แหละครับที่เป็นเหมือนเมฆดำที่ปกคลุมตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย

ไม่เว้นแม้แต่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เอง ก็ยังต้องเข้ามาดูแลตลาดเป็นพิเศษ อย่างเช่น เหตุการณ์ที่ BOJ ต้องเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉิน เพื่อคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของตัวเอง ที่ดูเหมือนจะสูงเกินเพดาน 0.5% ที่เขากำหนดไว้ การที่ธนาคารกลางต้องเข้ามาแทรกแซงแบบนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางและความไม่แน่นอนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งความกังวลนี้ก็ส่งผ่านมายังตลาดหุ้นได้เหมือนกัน เห็นไหมครับว่าเรื่องดอกเบี้ยและท่าทีของธนาคารกลางหลักๆ นี่มันเรื่องใหญ่จริงๆ มีผลต่อทิศทางเงินทุนทั่วโลก ซึ่งก็กระทบมาถึง ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถัดจากเรื่องดอกเบี้ย ก็ต้องมองไปที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นเหมือนพี่ใหญ่ของฮ่องกงนี่แหละครับ ฮ่องกงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้ากับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นแฟ้นมากๆ บริษัทขนาดใหญ่หลายๆ แห่งใน ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง ก็ทำธุรกิจหรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้น สถานการณ์เศรษฐกิจของจีน นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจีน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองระหว่างจีนกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อย่างสหรัฐฯ นี่มีผลกับ ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง โดยตรงเลยนะ

ในช่วงที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงค่อนข้างอ่อนตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความหวังเรื่องการค้าดีๆ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ดูจะลดน้อยลงไป รวมถึงประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น ประเด็นช่องแคบไต้หวัน หรือการแข่งขันทางเทคโนโลยี ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและลังเลที่จะลงทุนในตลาดภูมิภาคนี้ พอมีความกังวลมากๆ แรงเทขายก็มีมากกว่าแรงซื้อ ราคาหุ้นของบริษัทจีนและฮ่องกงที่อยู่ในดัชนีก็ปรับตัวลง ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง อ่อนแรงตามไปด้วย

ลองสังเกตดัชนีความผันผวน (Volatility Index หรือ VIX) ซึ่งบางคนเรียกว่า ‘มาตรวัดความกลัว’ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สิครับ เวลาที่ VIX ปรับตัวสูงขึ้นมากๆ ก็มักจะสะท้อนว่านักลงทุนทั่วโลกกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง และความกังวลนี้ก็แผ่มาถึงตลาดเอเชียอย่างฮ่องกงได้ไม่ยากเลยครับ เพราะตลาดการเงินทั่วโลกเชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ก็มักจะส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอดๆ

แล้วในบ้านของฮ่องกงเองล่ะ มีอะไรน่าจับตามองบ้าง? แน่นอนว่าเศรษฐกิจภายในประเทศฮ่องกงเองก็มีผลต่อ ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง ด้วยครับ ข้อมูลเศรษฐกิจบางตัวที่เผยแพร่มาเมื่อเร็วๆ นี้ก็เริ่มส่งสัญญาณที่ต้องระมัดระวังนะครับ อย่างเช่น ตัวเลขการเติบโตของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็ดูจะชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก

นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในฮ่องกงเองก็อ่อนตัวลงในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยครับ ซึ่งเรื่องความเชื่อมั่นนี่สำคัญมากนะครับ เพราะถ้าผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจไม่เชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจ ก็อาจจะชะลอการลงทุน การขยายกิจการ หรือการจ้างงานได้ แม้ว่า งบประมาณฮ่องกง ที่นำเสนอโดยคุณ Paul Chan เลขาธิการด้านการเงิน จะแสดงแผนที่พยายามประคับประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ และมีมาตรการกระตุ้นบางอย่างออกมา แต่ภาพรวมทางเศรษฐกิจก็ยังมีความท้าทายอยู่ และอาจไม่ได้ฟื้นตัวได้เร็วอย่างที่หลายคนคาดหวัง ซึ่งปัจจัยภายในเหล่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่อ ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง

มองไปข้างหน้า ตลาด “ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง” กำลังเผชิญกับอะไร? ด้วยแรงกดดันจากหลายปัจจัยที่เราคุยกันไป ทั้งเรื่องใหญ่ระดับโลกอย่าง อัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สภาพเศรษฐกิจจีน และความกังวลต่างๆ ก็ทำให้ ดัชนีฮั่งเส็ง เองก็ดูเหมือนจะเข้าใกล้ “ภาวะปรับฐาน” (Correction) ซึ่งหมายถึงการปรับตัวลงมาประมาณ 10% หรือมากกว่า จากจุดสูงสุดเร็วๆ นี้ได้เหมือนกันนะ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องใช้ความระมัดระวัง

แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดูแย่ไปหมดนะครับ อย่างน้อยก็มีสัญญาณดีๆ ในตลาดเหมือนกัน โดยเฉพาะ ตลาด IPO (Initial Public Offering หรือ การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก) ในฮ่องกงเนี่ย เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแล้วนะ จากข้อมูลของ EY (Ernst & Young) และแหล่งอื่นๆ มีนักวิเคราะห์คาดว่ากิจกรรมในตลาด IPO ของฮ่องกงจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้ามีบริษัทดีๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นฮ่องกงได้

นอกจากนี้ ยังมีข่าวคราวเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่มีการเคลื่อนไหวเรื่องการระดมทุน อย่างการเสนอขายหุ้นแบบ Placement (การเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง) หรือเตรียมทำ IPO เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก็สะท้อนว่าบริษัทยังคงมองหาช่องทางในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ หรือปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกในระดับบริษัทแต่ละแห่งได้บ้าง

แล้วในฐานะนักลงทุน หรือคนที่สนใจล่ะ เราควรจะมอง “ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง” ในช่วงนี้ยังไงดี? สรุปแล้ว ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง ในช่วงนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาวะที่ได้รับอิทธิพลจากหลายด้านจริงๆ ครับ ทั้งเรื่องใหญ่ระดับโลกอย่าง อัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง นโยบายการเงิน ความสัมพันธ์ จีน-สหรัฐฯ ไปจนถึงเรื่องในประเทศฮ่องกงเองอย่าง ตัวเลขเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และกิจกรรมในตลาดทุน

สำหรับใครที่กำลังจับตาดู ดัชนีฮั่งเส็ง หรือสนใจลงทุนในตลาดนี้ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบด้านครับ ลองติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ศึกษาข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญๆ รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก และอาจจะลองพิจารณาว่าปัจจัยไหนที่ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณ

ตลาดหุ้นมีความซับซ้อน และ ดัชนีฮั่งเส็ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น การเคลื่อนไหวของมันบอกเล่าเรื่องราวทางเศรษฐกิจและการเงินที่เชื่อมโยงกันไปทั่วโลก การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมได้ดีขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

⚠️ ที่สำคัญมากๆ คือ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะตลาดที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกหลายอย่างแบบนี้ ราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นหรือลงได้รวดเร็ว หากเงินลงทุนของคุณเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ หรือไม่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้สูง ควรพิจารณาให้รอบคอบ ศึกษาเครื่องมือและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนใน ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง หรือหลักทรัพย์ใดๆ นะครับ

โลกของการเงินอาจดูซับซ้อน แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำความเข้าใจกลไกเบื้องต้น รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยขับเคลื่อน และติดตามข่าวสารสำคัญๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไปครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!

Leave a Reply