สวัสดีครับ/ค่ะ เพื่อนนักลงทุนและผู้ที่สนใจเรื่องราวการเงินทุกท่าน!
ช่วงนี้ได้ยินคำว่า “ตัวเปิดนิเคอิ” บ่อยๆ ไหมครับ/คะ? บางคนอาจจะงงๆ ว่า เอ๊ะ…มันคืออะไร แล้วทำไมเราที่อยู่เมืองไทยถึงต้องสนใจด้วยล่ะ? วันนี้ผมในฐานะเพื่อนร่วมเดินทางในโลกการเงิน จะพาไปเจาะลึกเรื่องนี้กันแบบง่ายๆ สไตล์คุยกันหลังร้านกาแฟ ไม่ต้องมีศัพท์เทคนิคซับซ้อนให้ปวดหัวเลยครับ
**ตัวเปิดนิเคอิ คืออะไรกันแน่? ทำไมต้องจับตาดู?**
เอาง่ายๆ เลยนะครับ “นิกเกอิ 225” เนี่ย ก็เหมือนกับดัชนี SET 50 หรือ SET ของบ้านเรานี่แหละครับ แต่เป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น! พูดง่ายๆ คือ เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) ซึ่งเจ้านิกเกอิ 225 เนี่ย เขาคัดเอาหุ้นของ 225 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นมาคำนวณรวมกัน คิดค้นโดยหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่าง นิฮอน เคไซ ชิมบุน (Nihon Keizai Shimbun) มาตั้งแต่สมัยนานนมแล้วครับ
ทีนี้ไอ้คำว่า “ตัวเปิดนิเคอิ” เนี่ย มันก็คือราคาหรือระดับดัชนี ณ ช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มเปิดทำการซื้อขายนั่นเองครับ! ลองนึกภาพเหมือนสนามแข่งรถ พอสัญญาณดัง “ปิ๊ป!” รถทุกคันก็ออกตัวพร้อมกันใช่ไหมครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน ไอ้จังหวะที่เปิดปุ๊บ แล้วดัชนีมันขึ้นไปเท่าไหร่ ลงมาเท่าไหร่ หรือทรงๆ อยู่ตรงไหนนั่นแหละ คือ ตัวเปิดนิเคอิ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองกัน เพราะมันบอกใบ้ถึง “อารมณ์” ของตลาดในวันนั้นได้ในระดับหนึ่งเลย

คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วคนไทยอย่างเราจะไปรู้ตัวเปิดนิเคอิแล้วได้อะไร?” คำตอบคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกมันเชื่อมโยงกันหมดครับ! เหมือนเราอยู่ในหมู่บ้านโลก ถ้าบ้านข้างๆ อย่างญี่ปุ่นเป็นหวัด บ้านเราก็อาจจะจามตามไปด้วยก็ได้ (หรือบางทีก็สวนทางกันก็มีนะ!) การรู้ความเคลื่อนไหวของตลาดใหญ่ๆ อย่างญี่ปุ่น หรือแม้แต่ตลาดอื่นๆ ในเอเชียและทั่วโลกอย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones), แนสแด็ก (Nasdaq), ฮั่งเส็ง (Hang Seng) หรือแม้แต่ SET บ้านเราเอง ก็ช่วยให้เราพอจะประเมินสถานการณ์การลงทุนโดยรวมได้ดีขึ้นครับ
**อะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อ “ตัวเปิดนิเคอิ” และการเคลื่อนไหวของนิกเกอิ 225?**
การที่นิกเกอิ 225 จะขึ้นหรือลงในแต่ละวัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ มันมีหลายปัจจัยมารุมเร้าเต็มไปหมด ลองมาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่สำคัญๆ:
1. **แรงซื้อขายในตลาดเองนี่แหละ:** อันนี้ชัดเจนสุดๆ ครับ ถ้าวันไหนนักลงทุนมองเห็นโอกาส แห่กันเข้าซื้อหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ในดัชนี อย่างกลุ่มเทคโนโลยี หรือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (พวกชิปคอมพิวเตอร์ต่างๆ) ที่กำลังเป็นที่ต้องการทั่วโลก นิกเกอิก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นครับ แต่ถ้าเกิดมีข่าวร้าย หรือนักลงทุนกังวล ก็อาจจะเทขายลงมา ตัวเปิดนิเคอิในวันต่อมาก็จะได้รับอิทธิพลจากแรงซื้อขายของวันก่อนหน้าและข่าวสารล่าสุดด้วย
2. **ค่าเงินเยน (JPY):** เรื่องนี้สำคัญกับญี่ปุ่นมากครับ เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง ลองนึกภาพนะครับ ถ้าเงินเยนอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสกุลเงินอื่น สินค้าญี่ปุ่นที่ส่งไปขายต่างประเทศก็จะถูกลงในสายตาชาวต่างชาติ ทำให้บริษัทส่งออกของญี่ปุ่นขายของได้ดีขึ้น มีกำไรมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อราคาหุ้นและดัชนีนิกเกอิครับ แต่ถ้าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ก็จะเกิดผลตรงข้าม หุ้นกลุ่มส่งออกอาจจะโดนกดดันได้ครับ

3. **ข่าวสารเศรษฐกิจมหภาค:** เรื่องใหญ่ๆ ระดับโลกนี่แหละตัวดี!
* **การตัดสินใจของธนาคารกลาง:** ไม่ใช่แค่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นะครับ แต่รวมถึงธนาคารกลางสำคัญๆ อย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ด้วย การประชุมนโยบายการเงิน การขึ้น-ลด อัตราดอกเบี้ย ของพวกเขา ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการลงทุนทั่วโลกครับ
* **เรื่องเงินเฟ้อ:** ตัวเลข เงินเฟ้อ ทั้งของญี่ปุ่นเองและประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ทำให้นักลงทุนประเมินว่าธนาคารกลางจะปรับนโยบายการเงินอย่างไร ซึ่งมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
* **สงครามการค้า หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ:** ข่าวการเจรจาการค้าระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ หรือความขัดแย้งทางการค้าอื่นๆ ก็สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมถึงญี่ปุ่นได้ไม่น้อยครับ เพราะกระทบต่อภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ
* **ปัญหาหนี้รัฐบาล:** อย่างความกังวลเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือปัญหาการคลังในประเทศอื่นๆ ก็สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก ทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นได้ครับ
4. **แนวโน้มตลาดโลกโดยรวม:** อย่างที่บอกครับ ตลาดมันเชื่อมกัน ถ้าตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ (ดาวโจนส์, S&P 500, แนสแด็ก) หรือยุโรป ปรับตัวขึ้น ตลาดเอเชียรวมถึงญี่ปุ่นก็มักจะได้รับอานิสงส์ไปด้วยในทางบวก แต่ถ้าตลาดใหญ่ๆ ลงแรง ตลาดในเอเชียก็มักจะได้รับแรงกดดันเช่นกันครับ
5. **ข้อมูลเชิงเทคนิค:** นักลงทุนบางกลุ่มก็จะใช้เครื่องมือทางเทคนิค (อินดิเคเตอร์ – Indicators) อย่าง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือรูปแบบกราฟต่างๆ มาช่วยประเมินแนวโน้มของดัชนี นิกเกอิ 225 ด้วยครับ สัญญาณจากอินดิเคเตอร์เหล่านี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุนระยะสั้นได้
**มองภาพรวมตลาดเอเชียและตลาดไทย**
นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ตลาดหุ้นในเอเชียอื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ แต่ละประเทศก็มีปัจจัยภายในของตัวเอง เช่น นโยบายของรัฐบาล ตัวเลขเศรษฐกิจประจำชาติ (อย่างตัวเลข เงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน) และการตัดสินใจของธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ (เช่น ธนาคารกลางจีน, ธนาคารกลางอินโดนีเซีย) อย่างบ้านเราเอง ดัชนี SET และ SET50 ก็มีการปรับตัวขึ้นลงตามปัจจัยภายในและได้รับอิทธิพลจากตลาดต่างประเทศอยู่เสมอ บางครั้งนักวิเคราะห์ก็มีการนำดัชนี SET ของเราไปเปรียบเทียบกับ นิกเกอิ หรือดัชนีอื่นๆ ในภูมิภาคเพื่อมองหาแนวโน้มด้วยครับ
**เรื่องที่ต้องระวังให้มาก!**
ถึงแม้ นิกเกอิ 225 หรือ ตัวเปิดนิเคอิ จะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและใช้ประกอบการตัดสินใจได้ แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมเลยก็คือ:
* **การลงทุนมีความเสี่ยงสูงมาก:** โดยเฉพาะการซื้อขาย ตราสารทางการเงิน ที่มีการใช้ leverage หรือ มาร์จิน (margin) หรือแม้แต่ เงินดิจิตอล ครับ! ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ผันผวนรุนแรงมาก คุณอาจจะเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย ซึ่งมันอาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน
* **ข้อมูลอาจจะไม่เรียลไทม์หรือแม่นยำเสมอไป:** ราคาหรือตัวเลขดัชนีที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ อาจจะเป็นเพียง ราคา ชี้นำ (indicative price) ไม่ใช่ราคาจริงสำหรับการซื้อขาย ณ ขณะนั้นเป๊ะๆ เพราะมันมีความล่าช้าและค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูลเรียลไทม์ที่แม่นยำจริงๆ
* **ทำความเข้าใจความเสี่ยงและต้นทุนให้ดี:** ก่อนจะตัดสินใจซื้อขายอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารอนุพันธ์ หรืออะไรก็ตามที่อิงกับดัชนี นิกเกอิ 225 หรือตลาดอื่นๆ ต้องศึกษาให้เข้าใจถึงลักษณะของมัน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และต้นทุนต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม หรือ spread
* **ประเมินตัวเอง:** คุณมีความเข้าใจเรื่องนี้มากแค่ไหน? คุณยอมรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน? ถ้ายังไม่แน่ใจ ควรหาความรู้เพิ่มเติม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจครับ อย่าลงทุนตามเพื่อนหรือตามข่าวลือเด็ดขาด!
* **ข้อมูลมีลิขสิทธิ์:** ข้อมูลทางการเงินส่วนใหญ่ โดยเฉพาะข้อมูล ราคา ที่เป็นเรียลไทม์หรือมีความละเอียดสูง มักจะมีข้อจำกัดในการนำไปใช้ ถ้าจะนำไปเผยแพร่ต่อ ต้องแน่ใจว่าได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วนะครับ

บางครั้ง การซื้อขายที่อิงกับตลาดต่างประเทศ อย่างดัชนี นิกเกอิ 225 ก็อาจจะทำผ่านแพลตฟอร์มของ โบรกเกอร์ ต่างประเทศ ซึ่งมีหลายเจ้า เช่น Moneta Markets เป็นต้น แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็มีผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบให้เลือกซื้อขาย แต่ก็ต้องศึกษาเงื่อนไข ความน่าเชื่อถือ และความเสี่ยงของแต่ละแพลตฟอร์มให้ดีก่อนนะครับ อย่าเพิ่งหลงไปกับข้อเสนอที่ดูดีเกินจริง
**สรุป:**
เจ้า “ตัวเปิดนิเคอิ” และการเคลื่อนไหวของดัชนี นิกเกอิ 225 นั้น เป็นเหมือนกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนสุขภาพของตลาดหุ้นญี่ปุ่น และมีความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกาครับ การจับตาดู นิกเกอิ ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งจากภายในญี่ปุ่นเอง (อย่างหุ้น เซมิคอนดักเตอร์ หรือ ค่าเงิน เยน) และปัจจัยภายนอก (นโยบายการเงิน, ข่าวเศรษฐกิจโลก, การค้า)
สำหรับเราในฐานะนักลงทุน การเข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่สิ่งที่ดีกว่าคือการตระหนักรู้ว่า “ความรู้” และ “การบริหารความเสี่ยง” สำคัญกว่า “การเก็งกำไร” ครับ
ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับตลาดต่างประเทศ หรือแม้แต่ตลาดไทยเอง ลองถามตัวเองก่อนว่า “เราเข้าใจมันดีพอหรือยัง?” “เรายอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ไหม?” และ “เรามีแผนรองรับความผันผวนแล้วหรือยัง?”
จำไว้เสมอครับว่า ข้อมูลเป็นเพียงเครื่องมือ การตัดสินใจที่ดีต้องมาจากความรู้ความเข้าใจของเราเอง และพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ
ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติและประสบความสำเร็จนะครับ!