กองทุน SP500: ลงทุนง่ายๆ สไตล์คนไทย พร้อมเคล็ดลับเลือกกองทุนทำกำไร

ช่วงนี้เวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือไถฟีดโซเชียล เพื่อนๆ เคยสังเกตไหมครับว่า ทำไมใครๆ ก็พูดถึงแต่ตลาดหุ้นอเมริกา? โดยเฉพาะชื่อเท่ๆ อย่าง “ดัชนี S&P 500” มันคืออะไรกันแน่นะ แล้วคนไทยธรรมดาๆ อย่างเรา จะเข้าไปลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีนี้ได้ยังไงบ้าง วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบคุยเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายๆ จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนเลยครับว่าเจ้า กองทุน sp500 เนี่ย มันมีที่มาที่ไป มีเสน่ห์ตรงไหน แล้วต้องดูอะไรบ้างก่อนจะกระโดดเข้าไปลงทุน

เจ้า S&P 500 เนี่ย จริงๆ แล้วมันก็คือดัชนีที่รวมเอาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ 500 อันดับแรกในอเมริกามาคำนวณนั่นแหละครับ ลองนึกภาพบริษัทที่เราคุ้นๆ หู เช่น Apple, Microsoft, Nvidia พวกนี้ก็อยู่ในนั้นหมดแหละ เขาว่าเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นอเมริกากว่า 80% เลยนะ ทีนี้คำถามคือ เราจะไปซื้อหุ้นอเมริกาตรงๆ เลยไหม? ส่วนใหญ่คนไทยอย่างเราที่เงินไม่ได้เยอะมาก หรือไม่อยากยุ่งยากเรื่องเปิดบัญชีต่างประเทศ มักจะเลือกวิธีที่ง่ายกว่า นั่นก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่บ้านเราเปิดขายครับ ซึ่งหลายกองทุนก็มีนโยบายไปลงทุนในกองทุนหลัก (Feeder Fund หรือ ฟีดเดอร์ฟันด์) ที่อเมริกาอีกที โดยกองทุนหลักนั้นก็ไปอิงผลตอบแทนกับดัชนี S&P 500 นี่แหละ พูดง่ายๆ คือ ซื้อกองทุนไทย เท่ากับได้ลงทุนใน S&P 500 นั่นเองครับ นี่แหละหัวใจหลักของการลงทุนใน กองทุน sp500 ผ่านช่องทางของคนไทย

ตอนนี้ในบ้านเราก็มีหลาย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ที่ออก กองทุน sp500 มาให้เลือกครับ ยกตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆ ก็มีของ SCB, KBank, KKP, BBL แต่ละกองก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปนะ บางกองก็ไปลงทุนใน SPDR S&P 500 ETF (อีทีเอฟ) Trust บางกองก็ไป iShares Core S&P 500 ETF จุดสำคัญที่ต้องดูก่อนตัดสินใจก็มีหลายอย่างเลยครับ

เรื่องแรกคือ “นโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” หรือที่เรียกว่า Hedging (เฮดจิ้ง) บางกองจะ Hedged (ป้องกัน) ไว้เกือบหมดเลย เช่น SCBS&P500 ของ SCB อันนี้ก็จะลดความผันผวนจากค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้เยอะ แต่บางกองก็ Unhedged (อันเฮดจิ้ง) คือ ไม่ป้องกันเลย เช่น KKP US500-UH-E หรือ B-USPASSIVE ของ BBL กองพวกนี้ผลตอบแทนที่เราได้รับจะได้รับอิทธิพลจากค่าเงินโดยตรงด้วยครับ ถ้าบาทอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เราก็ได้อานิสงส์ตรงนั้นเพิ่ม แต่ถ้าบาทแข็งขึ้น ก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินบาทดูน้อยลงไป ลองคิดดูนะครับว่าเราโอเคกับความผันผวนตรงนี้แค่ไหน หรืออยากป้องกันไว้ก่อน

เรื่องที่สองที่สำคัญมากๆ และมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาวของเราโดยตรง คือ “ค่าธรรมเนียม” ครับ แต่ละกองทุนมีค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน ทั้งค่าธรรมเนียมการซื้อ ค่าธรรมเนียมการขายคืน และที่สำคัญสุดคือ “ค่าธรรมเนียมการจัดการ” ที่จะหักจากมูลค่าทรัพย์สินกองทุน (NAV) ไปทุกปี บางกองก็คิดในอัตราปกติ แต่มีบางกองที่ออกมาเป็นจุดเด่นเลยครับ อย่าง กองทุน sp500 ของ KKP รุ่น KKP US500-UH-E เค้าประกาศว่า “ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการตลอดอายุการลงทุน” ฟังแล้วว้าวเลยใช่ไหมครับ อันนี้เป็นจุดที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่มองการลงทุนระยะยาว เพราะค่าธรรมเนียมที่ประหยัดไปได้ทุกปี สะสมไปนานๆ ก็มีผลต่อผลตอบแทนรวมของเราไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากสองเรื่องหลักนี้ก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ เช่น เงินลงทุนขั้นต่ำ บางกองเริ่มต้นแค่ 1 บาทก็ได้ อย่าง SCBS&P500 ของ SCB บางกองก็อาจจะหลักร้อยหรือหลักพัน อย่าง KKP US500-UH-E ที่กำหนดขั้นต่ำ 1,000 บาท (แต่ก็มีเพดานสูงสุดต่อคนด้วยนะ) อีกเรื่องคือ “นโยบายการจ่ายเงินปันผล” บางกองเป็นแบบสะสมผลตอบแทนไปเรื่อยๆ (Accumulation) บางกองก็อาจจะมีการจ่ายเงินปันผลออกมาให้ (Dividend) ก็แล้วแต่ว่าเราชอบแบบไหน

แล้วภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกาตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? การลงทุนใน กองทุน sp500 ก็ต้องดูภาพรวมเค้าด้วยใช่ไหมครับ ล่าสุดมีตัวเลขที่น่าจับตามากๆ คือ “รายงานการจ้างงานภาคเอกชน” ของ ADP เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตัวเลขออกมาแค่ 37,000 ตำแหน่ง ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี! แถมยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์เค้าคาดกันไว้เยอะมากๆ (คาด 114,000 ตำแหน่ง ขณะที่เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 60,000 ตำแหน่ง) ตัวเลขนี้มันบอกอะไรเรา? มันบอกว่าตลาดแรงงานอเมริกาเริ่มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed (เฟด) คิดหนักเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

พอตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแบบนี้ นักการเมืองอย่างอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมาวิจารณ์ประธาน Fed อย่างคุณเจอโรม พาวเวลล์ ทันทีเลยครับ บอกว่าทำไมไม่รีบลดดอกเบี้ยซะที ดูอย่างยุโรปสิเค้าเริ่มลดแล้วนะ การถกเถียงเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ Fed ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่นักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม

นอกจากเรื่องดอกเบี้ยกับตัวเลขจ้างงานแล้ว “นโยบายการค้า” ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตาครับ ล่าสุดอเมริกาเค้าก็เพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากบางประเทศเป็น 50% ตามคำสั่งของทรัมป์ แถมความสัมพันธ์กับจีนก็ดูตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทรัมป์บอกว่าประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นคนที่ “ตกลงด้วยยาก” โอกาสที่จะได้ข้อตกลงการค้าก็ดูห่างไกลออกไปอีก ความตึงเครียดนี้มาจากหลายประเด็น ทั้งเรื่องการส่งออกชิป แร่หายาก ไต้หวัน หรือแม้แต่วีซ่า

เรื่องภาษีนำเข้าเนี่ย มันส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทที่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก อย่าง Dollar Tree บริษัทค้าปลีก เค้าก็ออกมาเตือนแล้วว่าไตรมาส 2 นี้กำไรอาจจะลดลงเยอะ เพราะผลกระทบจากความผันผวนของภาษีพวกนี้แหละครับ คาดว่าไตรมาส 2 กำไรอาจจะลดลงถึง 45-50% เลยทีเดียว แม้จะคาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังก็ตาม อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่านโยบายของภาครัฐมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทได้จริงๆ

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะแย่ไปหมดนะครับ ในส่วนของหุ้นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ ตัวท็อปอย่าง Nvidia นี่ราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องจนมูลค่าแซง Microsoft ไปแล้วนะ! ส่วน Apple นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าแข็งแกร่งอยู่ แม้จะมีประเด็นเรื่องภาษีหรือการเมืองมากดดันบ้างก็ตาม มองว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทยังเป็นจุดเด่นที่สำคัญอยู่ ภาพรวมตลาดฟิวเจอร์ส (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500, Dow Jones, Nasdaq ก็ยังดูทรงๆ หรือบวกขึ้นเล็กน้อย พยายามจะไปต่อให้ได้เป็นวันที่สาม

อีกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่นักลงทุนใน กองทุน sp500 ควรรู้ก็คือ “วันหยุดทำการ” ของตลาดอเมริกาครับ เพราะกองทุนไทยที่เราซื้อ เค้าไปลงทุนในอเมริกา ดังนั้นถ้าอเมริกาหยุดทำการ เราก็ส่งคำสั่งซื้อขายกองทุนนั้นไม่ได้ หรือทำได้แต่ก็อาจจะไปมีผลในวันทำการถัดไป ลองเช็คปฏิทินวันหยุดของทั้งไทยและอเมริกาดูด้วยนะครับ จะได้วางแผนถูก อย่างปี 2567-2568 ก็มีวันหยุดสำคัญๆ ทั้งของไทยและอเมริกา ลองดูก่อนวันที่จะทำรายการนะครับ

สรุปง่ายๆ ก็คือ การลงทุนใน กองทุน sp500 เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่อยากกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง แต่ก่อนจะตัดสินใจลงทุน เราต้องทำการบ้านนิดหน่อยครับ สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนใน กองทุน sp500 หรือกองทุนหุ้นต่างประเทศอื่นๆ มีดังนี้ครับ

1. **เปรียบเทียบกองทุน:** ดูก่อนว่ากองทุนไหนมีนโยบายยังไง เน้นลงทุนใน S&P 500 อย่างเดียว หรือมีตัวอื่นด้วย? อย่างของ KBank เค้าก็มีกองทุน Index Funds ให้เลือกเพียบ ทั้ง S&P 500 (K-US500X-A(A)), Nasdaq (K-USXNDQ), หรือแม้แต่ตลาดอื่นทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น จีน เอเชีย ลองไปดูกันได้ครับ เลือกที่ตรงกับเป้าหมายและความเข้าใจของเรา
2. **เช็คค่าธรรมเนียม:** อันนี้สำคัญมาก เพราะมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาว โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการจัดการ (อย่างของ KKP US500-UH-E ที่เป็นจุดเด่นคือไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการ) ค่าซื้อ ค่าขาย ค่ารับซื้อคืน ดูให้ครบ บางทีค่าธรรมเนียมที่ต่างกันนิดเดียว แต่ถ้าลงทุนระยะยาวก็มีผลต่างกันเยอะเลยนะ
3. **ทำความเข้าใจเรื่อง Hedging:** ชอบแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไหม หรือรับได้กับความผันผวนของค่าเงินบาท/ดอลลาร์? ถ้าไม่ป้องกัน (Unhedged) เวลาเงินบาทอ่อน ค่า NAV กองทุนเราอาจจะดูดีขึ้น แต่ถ้าเงินบาทแข็งก็อาจจะดูแย่ลง ลองพิจารณาดูครับว่าเรารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน
4. **ประเมินความเสี่ยง:** ตลาดหุ้นอเมริกาก็มีความผันผวนเหมือนตลาดหุ้นทั่วไปนะครับ อย่าลืมว่าระดับความเสี่ยงกองทุนพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 6 ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ต้องแน่ใจว่าเรารับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นได้จริงๆ

การลงทุนใน กองทุน sp500 หรือกองทุนรวมอื่นๆ ก็เหมือนกับการจะซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ครับ ต้องดูให้ละเอียด เปรียบเทียบข้อมูลให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่ตามกระแส เพราะเงินลงทุนของเรากว่าจะหามาได้มันไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะข้อมูลนโยบายกองทุน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และค่าธรรมเนียมต่างๆ กองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนหรือได้รับเงินต้นคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ครับ อย่าลืมนะครับว่า “การลงทุนในอดีตไม่ได้เป็นการยืนยันผลตอบแทนในอนาคต” ครับ

Leave a Reply