กองทุน S&P 500: ทางลัดลงทุนหุ้นอเมริกา แบบฉบับคนไทย

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมใครๆ ก็พูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 กันจัง? แล้วถ้าเราอยู่เมืองไทย อยากจะไปลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกอย่าง Apple, Microsoft, Google (Alphabet), Amazon, NVIDIA ที่อยู่ในดัชนีนี้บ้างเนี่ย ต้องทำยังไง? วันนี้ผมในฐานะคนที่วนเวียนอยู่ในวงการนี้มาพักใหญ่ จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันครับ

ลองนึกภาพตามนะฮะ เหมือนเราอยากจะไปเที่ยวอเมริกา แต่ไม่อยากวุ่นวายกับการเลือกเมืองเอง จองตั๋วหลายๆ ที่ พักหลายๆ โรงแรม เราก็เลยซื้อแพ็กเกจทัวร์ที่เค้าจัดมาให้แล้ว ไปครบเมืองไฮไลต์ ทั้งนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ลาสเวกัส นั่นแหละครับ การลงทุนใน “กองทุน s&p 500” ก็คล้ายๆ กัน คือ แทนที่เราจะไปเลือกซื้อหุ้นทีละตัวจาก 500 บริษัทใหญ่สุดในอเมริกา (ซึ่งซับซ้อนและใช้เงินเยอะมาก) เราก็ซื้อกองทุนรวมที่ผู้จัดการกองทุนเค้าไปซื้อหุ้นทั้ง 500 ตัวนั้นมาให้แล้ว โดยมีเป้าหมายให้ผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 เลยครับ ง่ายใช่ไหมล่ะ!

ปู่ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนาน ยังเคยแนะนำเลยว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ การซื้อกองทุนดัชนี S&P 500 เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะมันช่วยให้เราได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนทบต้นประมาณ 8-10% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ สำหรับการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวครับ

ช่วงนี้ตลาดหุ้นอเมริกาเองก็มีเรื่องให้พูดถึงเยอะเลยนะฮะ โดยเฉพาะผลงานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรียกได้ว่า “ฟอร์มดี” ใช้ได้เลยครับ ถ้าดูจากข้อมูล ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นไปถึง 6.15% เลยทีเดียว ถือเป็นผลงานรายเดือนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2566 และเป็นการหยุดช่วงขาลง 3 เดือนก่อนหน้านั้นได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ S&P 500 นะฮะ ดัชนี Nasdaq Composite ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี ก็พุ่งแรงกว่า 9% ส่วน Dow Jones Industrial Average ที่เป็นดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ก็บวกไปราวๆ 4% เหมือนกัน เป็นการปิดช่วง 3 เดือนที่ซบเซาไปได้อย่างสวยงาม

แต่ในวงการการลงทุน มันก็เหมือนชีวิตคนเรานั่นแหละครับ ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ อย่างเดียวเสมอไป นักวิเคราะห์บางส่วน อย่างคุณ Chris Toomey จาก Morgan Stanley ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้างว่า ตลาดอาจจะกำลัง “ตีราคา” หรือ “คาดหวัง” สถานการณ์ที่ดีที่สุดมากเกินไปแล้วหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าโอกาสที่จะมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10-30% ที่เป็นประเด็นร้อนแรงช่วงก่อนหน้านี้ เนี่ย มันน่าจะถูกรวมอยู่ในราคาหุ้นปัจจุบันไปพอสมควรแล้ว ความกังวลนี้ก็ทำให้ตลาดอาจจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบ ไม่ได้พุ่งแรงแบบต่อเนื่องไปตลอดครับ

พูดถึงเรื่องภาษีนำเข้า ก็ต้องมาดูกันหน่อยว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองพี่เบิ้มทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ กับจีน เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ก็กลับมาตึงเครียดกันอีกครั้งนะฮะ มีการตอบโต้ แลกเปลี่ยนข้อกล่าวหากันไปมา ฝั่งจีนก็ออกมาโต้ข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ว่าจีนละเมิดข้อตกลงทางการค้า โดยชี้กลับไปที่สหรัฐฯ แทน ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับการเจรจาต่อรองระหว่างสองประเทศนี้ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวแว่วๆ จากผู้อำนวยการ National Economic Council คุณ Kevin Hassett ว่า ประธานาธิบดี Donald Trump กับ ประธานาธิบดี Xi Jinping อาจจะมีการพูดคุยกันเรื่องการค้าในสัปดาห์นี้ (ถึงจะยังไม่มีกำหนดวันที่ชัดเจนก็เถอะ) แต่สถานการณ์แบบนี้ก็ต้องติดตามกันใกล้ชิดครับ เพราะมันส่งผลกระทบกับบริษัทใหญ่ๆ ที่พึ่งพาตลาดทั้งสองฝั่งอยู่ในดัชนี S&P 500 ไม่น้อยเลย

นอกจากเรื่องการค้าแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาในแต่ละสัปดาห์ก็เป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนจับตาดูครับ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payrolls) ที่จะออกมาในวันศุกร์เนี่ย สำคัญมากๆ เลย เพราะมันเป็นเครื่องชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะสะท้อนให้เห็นผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าต่างๆ ได้ด้วย

แล้วเรื่อง “วันหยุดตลาด” ล่ะ สำคัญยังไง? ถ้าเราลงทุนใน “กองทุน s&p 500” ผ่านกองทุนไทย แน่นอนว่าต้องดูวันหยุดของตลาดหุ้นไทยด้วยครับ ปี 2567 และ ปี 2568 ก็มีวันหยุดตามปฏิทินปกติและวันหยุดชดเชยต่างๆ ครับ แต่ถ้าเราลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยตรง เราก็ต้องรู้วันหยุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยนะฮะ อย่างปี 2567 ก็มีวันหยุดสำคัญๆ เช่น Martin L. King Day, Presidents’ Day, Memorial Day, Juneteenth, Independence Day, Labor Day, Thanksgiving, Christmas Day ครับ วันพวกนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการ หมายความว่า มูลค่าหน่วยลงทุนของเราก็จะไม่เปลี่ยนแปลงตามราคาหุ้นในวันนั้นๆ นั่นเองครับ การรู้ไว้ก็ช่วยให้เราไม่งงว่าทำไม NAV กองทุนเราถึงนิ่งไปในบางวันครับ

ทีนี้ กลับมาที่เรื่องของ “กองทุน s&p 500” โดยเฉพาะว่ามีตัวเลือกอะไรบ้างในไทย? ถ้าดูจากข้อมูลที่มี กองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund เนี่ย เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากครับ ไม่ใช่แค่ S&P 500 นะ แต่ บลจ. กสิกรไทย เค้าก็มีกองทุนดัชนีให้เลือกเยอะแยะเลยครับ ทั้งหมด 14 กองทุน ครอบคลุม 8 ตลาดทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยเองด้วย จุดเด่นของกองทุนพวกนี้คือ เค้าเน้นลงทุนในหุ้นใหญ่ๆ มีค่าธรรมเนียมค่อนข้างต่ำ และติดตามผลตามดัชนีได้ง่ายครับ

ถ้าเจาะลึกเฉพาะ “กองทุน s&p 500” เนี่ย ก็มีหลายเจ้าให้เลือกครับ เช่น กองทุน SCBS&P500 ของ บลจ. แอสเซท พลัส กองทุนนี้เค้าไปลงทุนใน ETF ชื่อ SPDR S&P500 ETF ซึ่งเป็น ETF ขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงครับ กองทุน SCBS&P500 เค้ามีเป้าหมายให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี S&P 500 โดยลงทุนอย่างน้อย 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ในกองทุนหลักตัวนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 (ตัวเลขอาจจะเป็นข้อมูลในอนาคตจากแหล่งอ้างอิงนะครับ ถือว่าเป็นตัวอย่างข้อมูล) NAV อยู่ที่ 56.85 บาท ปรับขึ้น 0.62% ในวันนั้น ขนาดกองทุน ณ วันที่ 3 เมษายน 2565 (ตัวเลขอาจจะเป็นข้อมูลในอนาคตเช่นกัน) อยู่ที่ 402.08 ล้านบาท ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 เนี่ย ปีปัจจุบันยังติดลบอยู่เล็กน้อยที่ -1.90% แต่ถ้าดูระยะยาวขึ้น 3 ปี (เฉลี่ยต่อปี) อยู่ที่ 8.13% 5 ปี (เฉลี่ยต่อปี) อยู่ที่ 11.33% และ 10 ปี (เฉลี่ยต่อปี) อยู่ที่ 9.23% ครับ ส่วนค่าธรรมเนียมขายอยู่ที่ 1.61%

อีกตัวเลือกหนึ่งคือ กองทุน KKP US500-UH-E ของ บลจ. เกียรตินาคินภัทร กองทุนนี้เค้าไปลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF ซึ่งก็เป็น ETF ที่อิง S&P 500 เหมือนกันครับ จุดที่น่าสนใจคือ กองทุนนี้เป็นแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) ซึ่งหมายความว่า ผลตอบแทนที่เราได้ จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย ถ้าเงินบาทอ่อนค่าลง เราก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เราก็อาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ครับ กองทุนนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือ “ฟรีค่าธรรมเนียมการจัดการตลอดอายุการลงทุน” แต่จะมีค่าธรรมเนียมซื้อ/ขายอยู่ที่ 0.2675% ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

นอกจากสองกองทุนนี้แล้ว ในรายชื่อกองทุนดัชนีของ กสิกรไทย ที่อิงตลาดต่างประเทศ ก็มี K-US500X-A(A) ที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500 เหมือนกัน แต่กองทุนนี้จะมีการพิจารณาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ ซึ่งแตกต่างจาก KKP US500-UH-E ที่เป็นแบบ Unhedged ครับ การเลือกแบบ Hedged หรือ Unhedged ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองเรื่องค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังไง และรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้มากแค่ไหนครับ

นอกจาก “กองทุน s&p 500” แล้ว บลจ. กสิกรไทยก็มีกองทุนที่อิงดัชนีอื่นๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยนะครับ อย่าง K-USXNDQ-A(A)/K-USXNDQ-A(D) ที่ลงทุนตามดัชนี NASDAQ-100 ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีและบริษัทขนาดใหญ่ 100 อันดับแรกนอกภาคการเงินในตลาด Nasdaq ใครที่ชอบหุ้นเทคโนโลยี อาจจะสนใจกองทุนนี้ครับ หรือถ้าอยากกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก ก็มี K-WORLDX ด้วยครับ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดหุ้นไทย หรือภูมิภาคอื่น ก็มีตัวเลือกกองทุนดัชนีที่น่าสนใจอีกหลายตัว เช่น K-SET50 ที่ลงทุนตามดัชนี SET50 ของไทย, K-CHX ที่ลงทุนหุ้นจีน A-Shares, K-EUX ที่ลงทุนหุ้นยุโรป, K-INDX ที่ลงทุนหุ้นอินเดีย หรือแม้แต่ K-GOLD ที่ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold Trust ครับ เรียกว่ามีให้เลือกหลากหลายตามความสนใจและระดับความเสี่ยงที่รับได้เลย

สุดท้ายนี้ อยากจะเตือนเพื่อนๆ นักลงทุนเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยงครับ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน “กองทุน s&p 500” หรือกองทุนอื่นๆ ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ดี โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนถ้าเป็นกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง และที่สำคัญมากๆ คือ “ผลการดำเนินงานในอดีต หรือผลการเปรียบเทียบ มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต” ครับ ตลาดหุ้นมีการขึ้นลง มีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้มากมายเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ

ถ้าถามว่า ตอนนี้ควรลงทุนใน “กองทุน s&p 500” ไหม? ไม่มีใครให้คำตอบที่ฟันธงได้ 100% ครับ แต่ถ้ามองในมุมของ Warren Buffett คือการลงทุนระยะยาว เพื่อรับผลตอบแทนตามการเติบโตของบริษัทชั้นนำของโลกในระยะเวลาหลายๆ ปี การลงทุนใน “กองทุน s&p 500” ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจตัวหนึ่งครับ เพียงแต่ต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนที่เราสนใจให้ละเอียด เปรียบเทียบค่าธรรมเนียม นโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องลงทุนด้วยเงินเย็นที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ครับ เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนในระยะสั้นได้เสมอครับ

⚠️ หากคุณมีเงินทุนที่อาจต้องใช้ในเวลาอันใกล้ หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก ควรประเมินความจำเป็นในการใช้เงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้นหรือกองทุนหุ้นนะครับ

Leave a Reply