กองทุน S&P 500 ตัวไหนดี 2566: ไขหมดเปลือก ลงทุนสบายใจ สไตล์เพื่อนคุย!

เพื่อนๆ เคยรู้สึกไหมว่าช่วงนี้ได้ยินคำว่า “ลงทุน” บ่อยจัง? โดยเฉพาะคำว่า “กองทุน S&P 500” เนี่ย เห็นคนพูดถึงกันเยอะมากเลย ทั้งตามข่าว ตามโซเชียล หรือแม้แต่เพื่อนที่ทำงานเดินมาถามเนี่ยแหละ

ล่าสุด “น้องแก้ม” เพื่อนสนิทเราที่เพิ่งเริ่มทำงานเก็บเงินได้สักพัก ก็เดินมาถามด้วยแววตาสงสัยว่า “พี่คะ หนูเห็นคนพูดถึง S&P 500 กันเยอะมากเลย มันคืออะไร แล้วถ้าจะลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยเนี่ย กองทุน s&p 500 ตัวไหนดี 2566 ที่น่าสนใจบ้างคะ หนูงงไปหมดเลย”

ฟังคำถามน้องแก้มแล้วก็อมยิ้ม เพราะนี่เป็นคำถามยอดฮิตจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2566 ที่ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งผันผวน แต่ S&P 500 ของฝั่งสหรัฐฯ ก็ยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลกอยู่ดี วันนี้ในฐานะคนที่คลุกคลีเรื่องการเงินมานาน จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันนะ

ก่อนอื่นเลย S&P 500 คืออะไร? พูดง่ายๆ มันคือดัชนีที่รวบรวมหุ้นของ 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คิดภาพตามนะ นี่คือการลงทุนในยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจของโลกกว่า 500 บริษัทพร้อมๆ กัน เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet), Tesla และอีกมากมาย ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เรารู้จักและใช้สินค้าบริการกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน

แล้วการลงทุนใน S&P 500 เนี่ย มันเข้าข่ายการลงทุนแบบที่เรียกว่า “ลงทุนเชิงรับ” (Passive Investment) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ นั่นแหละ มันเหมือนการที่เราเลือกซื้อทัวร์ไปเที่ยวแทนที่จะวางแผนเองทุกอย่าง ตั้งแต่จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก หาสถานที่เที่ยว หาร้านอาหาร ไปจนถึงการเดินทางระหว่างที่ต่างๆ การลงทุนเชิงรับก็เหมือนการซื้อ “ทัวร์” ไปกับดัชนี โดยมีเป้าหมายให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีที่ตามอยู่ ข้อดีคือมันง่าย กระจายความเสี่ยงได้ดีในตัว (เพราะลงทุนหลายบริษัท) ซื้อขายน้อยครั้ง และที่สำคัญคือ “ค่าธรรมเนียมต่ำ” กว่ากองทุนแบบที่ผู้จัดการกองทุนต้องมาคัดเลือกหุ้นเอง (Active Fund) เยอะเลย

ทีนี้ พอพูดถึงการลงทุน S&P 500 ผ่านกองทุนรวมในไทยเนี่ย ส่วนใหญ่มันจะมาในรูปแบบที่เรียกว่า “กองทุน Feeder Fund” (กองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศ) คือกองทุนรวมของไทยจะไปลงทุนในกองทุน ETF (Exchange Traded Fund – กองทุนรวมดัชนีประเภทหนึ่งที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น) หรือกองทุนรวมของต่างประเทศอีกที ซึ่งกองทุนหลักที่ว่านี้แหละจะไปลงทุนตามดัชนี S&P 500 โดยตรง อย่างในข้อมูลที่เรามี กองทุนไทยหลายกองก็ไปลงทุนในกองทุนหลักอย่าง iShares Core S&P 500 ETF ของต่างประเทศ

คำถามยอดฮิตของน้องแก้มคือ “กองทุน s&p 500 ตัวไหนดี 2566” ใช่ไหม? สำหรับนักลงทุนที่ดูจากข้อมูลที่เรามีนะ บริษัทจัดการกองทุนอย่าง กสิกรไทย (KBank) ก็มีกองทุนรวมดัชนีให้เลือกหลากหลายมากๆ ไม่ใช่แค่ S&P 500 นะ แต่ยังมีกองทุนที่อิงดัชนีอื่นๆ ทั่วโลกและในไทยด้วย เช่น NASDAQ-100 (หุ้นเทคฯ สหรัฐฯ), FTSE China A50 (หุ้นจีน), EURO STOXX 50 (หุ้นยุโรป), Nifty 50 (หุ้นอินเดีย) หรือแม้แต่ดัชนีหุ้นไทย SET50, SET100, กลุ่มแบงก์, กลุ่มพลังงาน ฯลฯ ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีนโยบายชัดเจนว่าจะอิงดัชนีตัวไหน และมักจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นชั้นนำของตลาดนั้นๆ

แล้วเวลาจะเลือกกองทุน S&P 500 สักกองในไทยดูอะไรบ้าง? นอกจากชื่อเสียงของ บลจ. (บริษัทจัดการกองทุน) อย่างกสิกรไทยแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องดูที่:

1. **นโยบายการลงทุน (Investment Policy):** ชัดเจนว่าลงทุนตามดัชนี S&P 500 ผ่านกองทุนหลักไหน
2. **ค่าธรรมเนียม (Fees):** นี่คือจุดแข็งของการลงทุนเชิงรับ ค่าธรรมเนียมขาย (Sales Fee), ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Redemption Fee), และค่าใช้จ่ายกองทุนรวม (Fund Expenses) ควรจะต่ำ เพื่อไม่ให้มาบั่นทอนผลตอบแทนระยะยาว
3. **นโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging Policy):** อันนี้สำคัญมาก เพราะเราลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กองทุนคิดผลตอบแทนเป็นเงินบาท ถ้ากองทุนไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเลย (ไม่มี Hedging) ผลตอบแทนของเราก็จะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ด้วย ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่า เราก็อาจจะขาดทุนจากส่วนต่างค่าเงินได้ แต่ถ้าป้องกันความเสี่ยงฯ เยอะๆ (เช่น ไม่น้อยกว่า 75% หรือ 90%) ผลตอบแทนก็จะใกล้เคียงกับผลตอบแทนของกองทุนหลักในสกุลเงินดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งนโยบายนี้แต่ละกองอาจจะไม่เหมือนกันนะ ต้องดูให้ดี
4. **ประเภทกองทุน (Fund Class):** มีทั้งแบบสะสมผลตอบแทน (Accumulation Class) คือกำไรจะถูกนำไปลงทุนต่อ ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตไปเรื่อยๆ และแบบจ่ายปันผล (Dividend Class) คือถ้ากองทุนมีกำไรและเป็นไปตามเงื่อนไข ก็จะมีการจ่ายเงินปันผลออกมา ซึ่งเหมาะกับคนต้องการกระแสเงินสด

ทีนี้มาดูเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจมากๆ นั่นก็คือ “ผลการดำเนินงานย้อนหลัง” (Past Performance) ของกองทุน S&P 500 ในปี 2566 และช่วงก่อนหน้านั้น ข้อมูลที่เรามีแสดงผลตอบแทนในหลายช่วงเวลาเลยนะ ตั้งแต่ต้นปี (YTD – Year to Date), 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือตั้งแต่จัดตั้งกองทุน โดยเปรียบเทียบกับ Benchmark (ดัชนีอ้างอิง) ของกองทุนนั้นๆ ซึ่งคำนวณตามมาตรฐานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)

ตรงนี้ต้องย้ำเตือนตัวโตๆ เลยว่า **⚠️ ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตนะ** แต่การดูผลตอบแทนย้อนหลังช่วยให้เราเห็นภาพรวมและแนวโน้มได้บ้าง

แล้วเราจะเลือกกองทุน s&p 500 ตัวไหนดี 2566 แค่ดูที่ผลตอบแทนย้อนหลังสูงๆ อย่างเดียวได้ไหม? ถ้าเป็นกองทุนเชิงรับที่ตามดัชนีเดียวกันล่ะก็ การที่ผลตอบแทนย้อนหลังต่างกันอาจจะมาจากหลายปัจจัยนะ เช่น ค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน ความสามารถในการติดตามดัชนี (เรียกว่า Tracking Error – ความคลาดเคลื่อนในการติดตามดัชนี) หรือแม้แต่นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น แทนที่จะดูแค่ตัวเลขผลตอบแทนโดดๆ เราควรดูควบคู่ไปกับค่าธรรมเนียมและความคลาดเคลื่อนในการติดตามดัชนีด้วย กองทุนเชิงรับที่ดีคือ กองทุนที่ค่าธรรมเนียมต่ำและติดตามดัชนีได้ใกล้เคียงที่สุด

ลองนึกภาพตามนะ สมมติมีกองทุน S&P 500 สองกอง กองแรกผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงกว่ากองที่สองนิดหน่อย แต่กองแรกค่าธรรมเนียมแพงกว่าและติดตามดัชนีได้ไม่ดีเท่ากองที่สอง (Tracking Error สูงกว่า) ในระยะยาว กองทุนที่สองที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและติดตามดัชนีได้ใกล้เคียงกว่า อาจจะให้ผลตอบแทนสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วดีกว่าก็ได้นะ

อีกเรื่องที่นักลงทุนกองทุนต่างประเทศต้องรู้คือเรื่อง “วันหยุดตลาด” (Market Holidays) เพราะธุรกรรมการซื้อขายหน่วยลงทุนของเราจะอิงกับวันที่ตลาดหุ้นที่กองทุนไปลงทุนเปิดทำการ อย่างกองทุน S&P 500 ก็ต้องอิงวันทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย ถ้าเป็นวันหยุดของสหรัฐฯ (หรือแม้แต่วันหยุดของไทย ถ้าเป็นวันหยุดยาวที่ บลจ. ประกาศหยุด) เราก็จะไม่สามารถทำรายการซื้อขายได้ ซึ่งในข้อมูลก็มีปฏิทินวันหยุดปี 2567 และ 2568 ให้ดูด้วยนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องวางแผนล่วงหน้าถ้าต้องการใช้เงินหรือต้องการซื้อขายในวันที่กำหนด

สรุปแล้ว การเลือกว่า กองทุน s&p 500 ตัวไหนดี 2566 หรือสำหรับปีต่อๆ ไป ไม่ได้มีคำตอบเดียวที่ฟันธงได้เป๊ะๆ ว่ากองไหนดีที่สุดสำหรับทุกคนนะ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีเป้าหมายการลงทุนเป็นอย่างไร

การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี S&P 500 เนี่ย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำระดับโลก กระจายความเสี่ยงได้ดี และเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากๆ ยิ่งถ้าเริ่มลงทุนได้เร็วและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่ พอล ภัทรพล เคยพูดถึงในวิดีโอ “เปิดสูตรรวยด้วย S&P 500” ว่าเป็นหนึ่งในแนวทางสร้างความมั่งคั่งระยะยาวเลยล่ะ

สำหรับน้องแก้มและเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจนะคะ สิ่งที่ควรทำคือ:

1. **ทำความเข้าใจ:** ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ S&P 500 และกองทุนที่คุณสนใจให้ละเอียด ดูนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม และนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
2. **ดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง:** เพื่อดูแนวโน้มและความคลาดเคลื่อนในการติดตามดัชนี แต่อย่าลืมว่ามันไม่ได้รับประกันอนาคตนะ
3. **ประเมินความเสี่ยง:** เข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นมีความผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนถ้ากองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ทั้งหมด
4. **เริ่มต้นลงทุน:** หลายกองทุนให้เริ่มลงทุนได้ในจำนวนเงินที่ไม่สูงมาก เช่น เริ่มต้นแค่ 500 บาท ก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้น 500 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกได้แล้ว อาจจะพิจารณาการลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging – การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน) คือการลงทุนเป็นจำนวนเงินเท่าๆ กันทุกเดือนโดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุนจะขึ้นหรือลง วิธีนี้ช่วยลดความกังวลเรื่องจับจังหวะตลาดได้ดี

**⚠️ คำเตือนท้ายสุดและสำคัญที่สุด:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล เข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และความเสี่ยงที่สำคัญอีกอย่างคือความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนต่ำกว่า หรือสูงกว่าเงินต้นที่นำไปลงทุนได้

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้น้องแก้มและเพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุนในกองทุน S&P 500 พอจะเห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้นะ!

Leave a Reply