
ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารด้านการเงินอยู่บ่อยๆ คงจะเคยได้ยินชื่อ “นิเคอิ” กันจนคุ้นหูใช่ไหมคะ โดยเฉพาะช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมานี่เอง ที่เจ้าดัชนีตัวนี้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ด้วยการพุ่งทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 34 ปี! โอ้โห ไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าถามว่าจริงๆ แล้ว นิเคอิ คือ อะไรกันแน่ แล้วมันสำคัญขนาดไหน ทำไมถึงเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ เหมือนเพื่อนคุยกันค่ะ
ว่ากันตามตรงแล้ว นิเคอิ คือ ชื่อที่คนส่วนใหญ่มักเรียกสั้นๆ ค่ะ ชื่อเต็มๆ ของเค้าคือ ดัชนี Nikkei Average Stock Price Index หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nikkei 225 เจ้าดัชนีตัวนี้เปรียบเสมือน “หน้าตา” หรือ “ตัวแทน” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ค่ะ คิดง่ายๆ เหมือนเวลาเราพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา เราก็จะนึกถึง S&P 500 หรือ Dow Jones ใช่ไหมคะ นิเคอิก็มีสถานะคล้ายๆ กันนี้แหละค่ะ เป็นดัชนีหลักที่ใช้สะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมของตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น
แล้วใครเป็นคนคิดค้นดัชนีนี้ขึ้นมาล่ะ? ดัชนี Nikkei 225 เนี่ย มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมากๆ เลยค่ะ เริ่มคำนวณและเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ Nihon Keizai Shimbun หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า The Nikkei มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 (จริงๆ เค้าคำนวณย้อนหลังไปถึงปี 1949 ด้วยนะ) ทำให้เค้าเป็นดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปเอเชียเลยทีเดียวค่ะ วิธีการคำนวณของเค้าก็คือการเลือกหุ้นของบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น 225 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) มาคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก เพื่อให้ได้ตัวเลขที่แสดงถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่ๆ ในตลาด การเลือก 225 บริษัทนี้ก็ไม่ได้สุ่มๆ นะคะ เค้าจะมีเกณฑ์การเลือกที่เน้นเรื่อง “สภาพคล่อง” ของหุ้น และพยายามสร้าง “ความสมดุลของอุตสาหกรรม” ต่างๆ ให้ครอบคลุมที่สุด เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพรวมได้ดีที่สุด และจะมีการทบทวนรายชื่อ 225 บริษัทนี้ปีละ 2 ครั้งด้วยค่ะ ส่วนตัวเลขดัชนีเนี่ย อัปเดตแบบเรียลไทม์ทุกๆ 5 วินาทีเลยระหว่างเวลาซื้อขาย เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวล่าสุดตลอดเวลา

ทีนี้มาดูความน่าตื่นเต้นของ นิเคอิ ในช่วงที่ผ่านมากันบ้างค่ะ อย่างที่เกริ่นไปว่าเค้าทำสถิติใหม่เมื่อต้นปี 2567 โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ดัชนีพุ่งขึ้นไปปิดที่ระดับ 40,097.63 จุด ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ทะลุผ่านจุดสูงสุดเดิมในช่วงฟองสบู่แตกปี 1989 ที่ระดับประมาณ 38,915.87 จุด ไปได้แบบสวยงามเลยค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่า กว่าจะกลับมายืนที่จุดนี้ได้อีกครั้ง ต้องใช้เวลากว่า 34 ปีเลยนะ! ตั้งแต่ต้นปี 2567 เพียงไม่กี่เดือน นิเคอิ ก็บวกไปแล้วกว่า 19% แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันนี้
แน่นอนว่าตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา นิเคอิ ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาไม่น้อยเหมือนกันค่ะ นอกจากเหตุการณ์ฟองสบู่ปี 1989 แล้ว เค้ายังเคยเผชิญวิกฤตหนักๆ อย่างวิกฤตซับไพร์มในปี 2008 ที่ส่งผลให้ดัชนีดิ่งลงไปต่ำกว่า 7,000 จุด หรือเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ที่ฟุกุชิมะในปี 2011 ที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลงไปถึง 10.55% ภายในวันเดียว! แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือ นิเคอิ ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 2020 เค้าก็เริ่มไต่ระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนกลับมายืนเหนือ 30,000 จุดได้อีกครั้งในปี 2021 และพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2567 นี้ ซึ่งปัจจัยหลายๆ อย่างก็ส่งเสริมให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจขึ้น เช่น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางญี่ปุ่น การปฏิรูปการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนที่เน้นให้บริษัทให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นมากขึ้น รวมถึงกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นหลายๆ แห่ง อย่างที่เคยมีข่าวว่านักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ก็เข้าไปลงทุนในบริษัทการค้าขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่ง เป็นต้น
แล้วไอ้เจ้า 225 บริษัทที่ว่าเนี่ย มีบริษัทอะไรบ้างที่เราน่าจะคุ้นชื่อ? เนื่องจากเป็นดัชนีที่รวมบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นไว้กว่า 225 แห่ง จาก 36 กลุ่มอุตสาหกรรม แน่นอนว่าต้องมีชื่อที่เราเคยได้ยินอยู่แล้วค่ะ อย่างบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นยักษ์ใหญ่ Fast Retailing ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ UNIQLO และ GU หรือบริษัทเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่าง Softbank รวมถึงบริษัทด้านอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำอย่าง Tokyo Electron หรือบริษัทเครื่องปรับอากาศและระบบทำความเย็นระดับโลกอย่าง Daikin Industries ก็เป็นส่วนหนึ่งในดัชนีนี้ค่ะ บริษัทเหล่านี้แหละค่ะที่เป็นเหมือนหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นและมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี นิเคอิ อย่างมีนัยสำคัญ (เค้าใช้วิธีคำนวณแบบ Price-weighted index คือหุ้นตัวไหนราคาต่อหุ้นสูง ก็จะมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก)

ฟังดูน่าสนใจขนาดนี้ แล้วถ้าเราอยากจะลองลงทุนใน นิเคอิ บ้าง ทำได้ไหม? ต้องบอกว่าเราไม่สามารถซื้อ “ตัวดัชนี” นิเคอิได้โดยตรงนะคะ แต่เราสามารถลงทุนในเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออ้างอิงกับดัชนีนี้ได้ค่ะ วิธีที่นิยมและเข้าถึงได้ง่ายก็มีหลายแบบ เช่น
1. กองทุนรวมที่ลงทุนตามดัชนี (Index Tracking Fund): มีกองทุนรวมหลายกองในบ้านเราและต่างประเทศที่นโยบายการลงทุนคือการเข้าไปลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับดัชนี Nikkei 225 โดยตรง เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด กองทุนประเภทนี้มักจะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ซึ่งถือว่าเสี่ยงสูงนะคะ เพราะผลตอบแทนจะผันผวนไปตามตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยตรง
2. กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนี (Nikkei 225 ETF): คล้ายๆ กับกองทุนรวม แต่ ETF (Exchange Traded Fund) จะมีลักษณะเหมือนหุ้นตัวหนึ่งที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการซื้อขายมากกว่า กองทุน ETF ที่อิงดัชนี นิเคอิ 225 ก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกเลยค่ะ มูลค่าเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนใน ETF กลุ่มนี้มีจำนวนมหาศาลมากๆ
3. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Nikkei 225 Futures): อันนี้เป็นเครื่องมือในตลาดอนุพันธ์ มีความซับซ้อนและใช้ leverage ได้ ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และเข้าใจกลไกตลาดล่วงหน้าเป็นอย่างดี
4. ลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี: ถ้าเราชอบบริษัทไหนเป็นพิเศษในกลุ่ม 225 บริษัทนี้ และบริษัทนั้นเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนได้ เราก็สามารถไปซื้อหุ้นรายตัวของบริษัทนั้นได้โดยตรงค่ะ แต่อาจจะต้องเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีบริการเข้าถึงตลาดหุ้นโตเกียวได้
สรุปแล้ว นิเคอิ คือ ดัชนีที่สำคัญมากๆ ตัวหนึ่งในโลกการเงิน ที่สะท้อนภาพรวมและความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน การที่ดัชนีนี้สามารถกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 3 ทศวรรษได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัย แต่ในฐานะนักลงทุน การทำความเข้าใจว่า นิเคอิ คือ อะไร และปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเค้า รวมถึงศึกษาเครื่องมือการลงทุนแต่ละประเภทอย่างรอบคอบ และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดต่างประเทศ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ เพราะการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงค่ะ!
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน ⚠️