ช่วงนี้หลายคนคงเห็นข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นกันบ่อยๆ ใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก หรือแม้แต่เรื่องของตลาดหุ้นที่ดูเหมือนจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าจับตา ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ตามติดเรื่องพวกนี้มาพักใหญ่ วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึง “ดัชนีนิเคอิ” (Nikkei Stock Average) หรือที่บางทีก็เรียกว่า Japan 225 กันครับ ว่ามันคืออะไร สำคัญยังไง แล้วนักลงทุนไทยอย่างเราๆ จะมีเอี่ยวกับเขาได้บ้างไหม
ลองนึกภาพตามนะครับว่าดัชนีนิเคอิ 225 นี่ก็เหมือนกับ “ทีมรวมดารา” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเลยล่ะครับ ไม่ใช่แค่ดาราตัวเล็กๆ นะ แต่เป็นดาราแถวหน้าสุดๆ 225 คนที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) โดยบริษัท นิเคอิ อิงค์ (Nikkei Inc.) ซึ่งเขาจะดูจากหลายๆ อย่าง ทั้งความใหญ่ของบริษัท สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น รวมถึงความหลากหลายในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้ดัชนีนิเคอิสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ค่อนข้างครบถ้วน

จุดเด่นอย่างหนึ่งของดัชนีนิเคอิคือเขาใช้การคำนวณแบบ “ถ่วงน้ำหนักด้วยราคา” ครับ หมายความว่าหุ้นของบริษัทไหนที่มีราคาต่อหุ้นสูง ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นต่ำ ไม่ได้ดูแค่ขนาดมูลค่าตลาดรวมอย่างเดียว วิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปครับ ดัชนีนิเคอิตัวนี้มีประวัติยาวนาน เริ่มคำนวณจริงๆ จังๆ มาตั้งแต่ปี 1950 แล้วนะ และมีการอัปเดตราคาเกือบจะเรียลไทม์ทุกๆ 5 วินาทีในช่วงเวลาซื้อขายเลยทีเดียว
ช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยเฉพาะดัชนีนิเคอิ 225 ถือว่าโชว์ฟอร์มได้น่าสนใจมากๆ ครับ เพิ่งจะเห็นตัวเลขทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปถึงสองรอบในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเลยทีเดียวครับ ตัวเลขล่าสุดที่เห็นอยู่ประมาณ 37,160.25 เยน ปรับขึ้นมาเล็กน้อยราวๆ 0.47% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ถ้าดูกว้างขึ้นหน่อยในรอบสัปดาห์ ดัชนีนิเคอิก็มีช่วงที่ปรับตัวลดลงไปราวๆ 1.56% นะครับ แต่ในรอบเดือนที่ผ่านมาก็ยังบวกสวยงามที่ 6.82% ส่วนในรอบปีที่ผ่านมา อันนี้ต้องบอกว่ายังติดลบอยู่ประมาณ 4.23% ครับ ตัวเลขพวกนี้บอกเราว่า ตลาดมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีขึ้นมีลง ไม่ได้พุ่งแรงขาเดียวตลอดหรอกครับ

แล้วปัจจัยอะไรบ้างล่ะที่ทำให้ดัชนีนิเคอิขึ้นลงได้? แน่นอนว่ามีหลายเรื่องครับ ทั้งเรื่องพื้นฐานของบริษัทที่อยู่ในดัชนี อย่างที่เห็นว่าในดัชนีนิเคอิมีทั้งบริษัทเทคโนโลยี ยานยนต์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย หุ้นบางตัวในรอบปีที่ผ่านมาพุ่งขึ้นไปกว่า 254% เลยก็มี ในขณะที่บางตัวกลับร่วงลงไปเกือบ 68% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความแตกต่าง” ของผลประกอบการและอนาคตที่นักลงทุนมองแต่ละบริษัท แม้จะอยู่ในดัชนีเดียวกันก็ตาม
นอกจากเรื่องพื้นฐานของบริษัทแล้ว ปัจจัยภายนอกก็มีผลมากเหมือนกันครับ เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่หลายคนจับตาดูว่าจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน หรือแม้แต่ข่าวสารเศรษฐกิจโลก เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ ก็มีส่วนให้ตลาดผันผวนได้ครับ อย่างช่วงนี้ก็มีข่าวเรื่องการเยือนเกาหลีเหนือของผู้นำรัสเซีย หรือประเด็นการค้าขายระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ ที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ซึ่งญี่ปุ่นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกนี้ด้วย ดัชนีนิเคอิก็ย่อมได้รับอิทธิพลตามไปด้วย
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยครับว่า เราจะไปลงทุนในดัชนีนิเคอิได้ยังไง? ต้องบอกก่อนว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไป การไปซื้อหุ้นญี่ปุ่นโดยตรงทีละตัวอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักครับ แต่เราสามารถลงทุนใน “ตราสาร” หรือ “ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน” ที่อ้างอิงกับดัชนีนิเคอิได้ครับ วิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนไทยก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ครับ
ปัจจุบันมีกองทุนรวมในประเทศไทยหลายกองที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีนิเคอิ หรือลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงดัชนีนิเคอิโดยตรง กองทุนประเภทนี้มักจะเป็นแบบที่เรียกว่า “Passive Management” หรือ “Index Tracking” คือมีเป้าหมายให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีนิเคอิ 225 มากที่สุด กองทุนรวมเหล่านี้มักจะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีระดับความเสี่ยงค่อนข้างสูงครับ คือระดับ 6 ซึ่งถือว่าเสี่ยงมากสำหรับกองทุนรวมครับ

การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างญี่ปุ่น โดยที่เราไม่ต้องไปเลือกหุ้นเองทีละตัว และมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลให้ แต่ถึงแม้จะเป็นกองทุนรวมที่ดูเหมือนจะจัดการให้เราแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงนะครับ
เพราะการลงทุนในตราสารทางการเงินทุกชนิด รวมถึงกองทุนรวม หรือแม้แต่การซื้อขายเงินดิจิทัล มี “ความเสี่ยงสูง” มากๆ ครับ มีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย เพราะราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูงมาก และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้เยอะแยะไปหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ กฎหมาย หรือการเมือง การใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีการกู้ยืมเงิน (อย่างการเทรดด้วยมาร์จิน) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัว
บางครั้งข้อมูลราคาหรือตัวเลขที่เราเห็นจากแหล่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต อาจจะไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจจะมีความคลาดเคลื่อนบ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เหมาะสำหรับใช้อ้างอิงเพื่อดูแนวโน้มเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะเอาไปใช้ตัดสินใจซื้อขายทันทีโดยตรงครับ
ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับดัชนีนิเคอิ ไม่ว่าจะเป็นผ่านกองทุนรวม หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือนักลงทุนทุกคนจะต้อง “ตระหนักถึงความเสี่ยง” ให้มากๆ ครับ ต้องประเมินตัวเองอย่างรอบคอบว่าเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน เรามีประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
⚠️ คำแนะนำง่ายๆ สำหรับนักลงทุนที่สนใจดัชนีนิเคอิคือ:
1. **ศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง:** ทำความเข้าใจก่อนว่าดัชนีนิเคอิคืออะไร ทำงานยังไง และอะไรบ้างที่มีผลต่อมัน
2. **ทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุน:** ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หรืออย่างอื่น ต้องรู้เงื่อนไข ค่าธรรมเนียม และที่สำคัญคือ “ระดับความเสี่ยง” ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
3. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** ถามตัวเองว่า “ถ้าขาดทุนทั้งหมด ฉันจะเดือดร้อนไหม?” ถ้าคำตอบคือ “เดือดร้อนมาก” อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบเป็นพิเศษ หรือเริ่มจากจำนวนเงินที่น้อยมากๆ ก่อน
4. **พิจารณาขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ:** ถ้ายังไม่มั่นใจ การพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินที่มีใบอนุญาตจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเองมากขึ้นครับ
การลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างดัชนีนิเคอิของญี่ปุ่น ถือเป็นโอกาสในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอครับ โอกาสมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเสมอเช่นกัน จงลงทุนอย่างเข้าใจและด้วยความระมัดระวังนะครับ