US100 คือโอกาสทอง? เปิดโลกเทคโนโลยี ทำกำไรทะยานฟ้า!

เอาล่ะครับพี่น้องชาวไทยที่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ หรืออาจจะเคยได้ยินคำว่า “ตลาดหุ้นอเมริกา” (American Stock Market) แล้วงงๆ ว่ามันมีอะไรบ้าง วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงิน ขออาสาพาไปทำความรู้จักกับพระเอกคนนึงที่กำลังมาแรงมากๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นก็คือเจ้า “US100” หรือชื่อจริงๆ ของเขาคือ “NASDAQ 100” นั่นเองครับ

เพื่อนๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นข่าวว่า NASDAQ ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือหุ้นเทคฯ อเมริกาพุ่งกระฉูด แล้วสงสัยว่ามันเกี่ยวกับเรายังไง us100 คือ อะไรกันแน่? ทำไมถึงต้องจับตาดู? ง่ายๆ เลยครับ เจ้าดัชนี US100 นี่เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความเคลื่อนไหวของบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลก 100 อันดับแรก (ที่ไม่ใช่สายธนาคารการเงินนะ) ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทสายเทคโนโลยี (Technology) อินเทอร์เน็ต (Internet) อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) โทรคมนาคม (Telecommunications) และไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ที่เราคุ้นชื่อกันดี เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ Google) หรือ Nvidia นี่แหละครับ

ลองนึกภาพตามนะว่า NASDAQ นี่ก็เหมือนตลาดใหญ่ๆ ตลาดนึง แต่เน้นไปที่ “ร้านค้า” ที่เป็นบริษัทสายไฮเทค นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นที่นี่เยอะแยะไปหมด ส่วน US100 ก็คือการเอา “ราคาหุ้น” ของร้านค้าใหญ่ๆ ชั้นนำ 100 ร้านในตลาดนี้มารวมกัน แล้วคำนวณออกมาเป็นค่าหนึ่ง เพื่อให้เราเห็นภาพรวมได้ง่ายๆ ว่าร้านค้ากลุ่มนี้เป็นยังไงบ้าง แพงขึ้นหรือถูกลง กำลังเติบโตหรือซบเซา

ทีนี้ us100 คือ ตัวแทนของอะไร? หลักๆ เลยคือตัวแทนของภาคเทคโนโลยีสหรัฐฯ ครับ เป็นเหมือนเครื่องวัดว่าบริษัทสายนี้ในอเมริกากำลังไปได้สวยแค่ไหน เพราะบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ต้องไม่ใช่สายการเงิน ต้องมีหลักทรัพย์ที่ซื้อขายได้ง่าย มีปริมาณการซื้อขายสูง และต้องจดทะเบียนในตลาดชั้นนำของอเมริกามาสักพักนึงแล้ว แถมวิธีการคำนวณค่าดัชนีเขาก็มีลูกเล่นนิดหน่อย คือไม่ได้ให้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดมีอิทธิพลมากเกินไป คือกำหนดน้ำหนักไม่ให้บริษัทไหนมีน้ำหนักโดดเกิน 24% ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อไม่ให้ดัชนีแกว่งไปตามหุ้นตัวเดียวมากเกินไป (แต่เอาเข้าจริง หุ้นใหญ่ๆ 5 ตัวแรกก็มีน้ำหนักรวมกันเกือบครึ่งดัชนีแล้วครับ!)

มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์หน่อย ดัชนี NASDAQ 100 ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 โดยเริ่มที่ค่า 100 จุด ตอนนั้นตลาด NASDAQ เองก็เพิ่งก่อตั้งไม่นาน (ปี 1971) ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะครับ ที่เด่นชัดสุดๆ ก็คือช่วง “ดอทคอมบูม” (Dot-com Bubble) ระหว่างปี 1995-2000 โอ้โห! ดัชนีพุ่งไป 400% เหมือนติดจรวด แต่อย่างที่เขาว่า “ขาขึ้นง่าย ขาลงเร็วกว่า” พอฟองสบู่แตกในปี 2000 ดัชนีร่วงลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา กว่า 83% ในเวลาแค่สองปีครึ่ง จากจุดสูงสุดที่ประมาณ 4816 จุด ลงมาเหลือไม่ถึง 1000 จุด! นี่แหละครับ ความผันผวนของหุ้นเทคโนโลยีในตำนาน

หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นตัวมาเรื่อยๆ เจอกับวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ก็ร่วงกลับไปใกล้ๆ 1000 จุดอีกครั้ง แต่ที่น่าทึ่งคือหลังจากปี 2008 เป็นต้นมา ดัชนี US100 ก็แสดงพลังการเติบโตอย่างต่อเนื่องครับ แม้จะมีช่วงย่อตัวบ้างจากสงครามการค้าหรือช่วงโควิด-19 ระบาดหนักๆ แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว และทำจุดสูงสุดใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ ข้อมูลล่าสุดบางแหล่งบอกว่าทำ New High ไปเมื่อช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมาด้วยนะ

ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังในช่วงยาวๆ จะเห็นว่า US100 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยค่อนข้างสูงทีเดียวครับ อย่างในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 21.5% ถือว่าไม่ธรรมดาเลย ถ้ามองตั้งแต่เริ่มต้นมาก็บวกไป 830% โน่นแน่ะ แต่ต้องไม่ลืมว่านี่คือ “ค่าเฉลี่ย” นะครับ ระหว่างทางมีขึ้นมีลง มีช่วงที่น่าตกใจเหมือนกัน

คุณอาจจะสงสัยว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ราคา us100 ขึ้นๆ ลงๆ ล่ะ? ปัจจัยหลักๆ เลยก็มีอยู่ไม่กี่อย่างที่สำคัญมากๆ ครับ อย่างแรกคือภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ครับ พวกตัวเลข GDP ความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพราะหุ้นในดัชนีนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโต เมื่อเศรษฐกิจดี คนมีเงินจับจ่ายใช้สอย บริษัทเทคโนโลยีก็มักจะทำยอดขายดีตามไปด้วย

อีกปัจจัยที่สำคัญสุดๆ ไม่แพ้กันเลยคือ “นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)” ครับ เหมือนแบงค์ชาติบ้านเรานี่แหละ FED มีอำนาจในการปรับอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงแค่นิดหน่อยก็ส่งผลสะเทือนไปทั่วตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะมูลค่าของหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่มาจาก “กำไรในอนาคต” ที่คาดว่าจะเติบโตไปเรื่อยๆ การปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้การกู้ยืมแพงขึ้น การลงทุนในอนาคตก็ต้องคิดหนักขึ้น แถมมูลค่ากำไรในอนาคตเมื่อคิดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Discounting) ก็จะลดลงด้วย ดังนั้น เวลา FED ขึ้นดอกเบี้ย หุ้นเทคโนโลยีมักจะโดนแรงกดดันเป็นพิเศษครับ

นอกจากปัจจัยใหญ่ๆ พวกนี้แล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็น “พี่ใหญ่” ในดัชนี อย่าง Apple, Microsoft, Amazon นี่ก็มีอิทธิพลมหาศาลครับ เพราะอย่างที่บอกไป 5 อันดับแรกมีน้ำหนักเกือบครึ่ง ถ้าบริษัทเหล่านี้ประกาศผลประกอบการดีหรือไม่ดี หรือมีข่าวสำคัญอะไรออกมา ราคาหุ้นเหล่านี้ก็จะกระดิกแรง แล้วด้วยน้ำหนักที่มาก มันก็จะลากดัชนี US100 ทั้งหมดให้ขยับตามไปด้วยครับ

แน่นอนว่า “กระแสเทคโนโลยีและนวัตกรรม” ก็เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในระยะยาวของดัชนีนี้ครับ เทรนด์ใหม่ๆ อย่าง AI, Cloud Computing, EV หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ถ้าบริษัทในดัชนีนี้ตามเทรนด์ทันและสร้างนวัตกรรมได้ต่อเนื่อง ดัชนีก็มีโอกาสเติบโตไปได้อีกไกลครับ ส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิค อันนี้จะเน้นไปที่นักเทรดระยะสั้นที่ดูกราฟเป็นหลักครับ การมองหาแนวรับ แนวต้าน หรือสัญญาณจากเครื่องมือต่างๆ ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อขายและราคาในระยะสั้นได้เหมือนกัน

แล้วถ้าเราอยากจะลงทุนหรือเทรดใน us100 ล่ะ ทำได้ยังไงบ้าง? อย่างแรกเลยต้องเข้าใจก่อนว่า US100 มีความผันผวนสูง เป็นที่นิยมก็จริง แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วยนะครับ การติดตามข่าวสารเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ครับ ต้องคอยดูนโยบาย FED ดูผลประกอบการบริษัทใหญ่ๆ และตามข่าวสารวงการเทคโนโลยีให้ดี

สำหรับช่องทางการลงทุน ก็มีหลายแบบครับ แบบที่นิยมและง่ายสำหรับนักลงทุนทั่วไปคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นดัชนี NASDAQ 100 หรือหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อีกช่องทางที่นักเทรดนิยมคือการเทรด “CFD” (Contract for Difference) ครับ อันนี้จะเป็นการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาดัชนีโดยตรง โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อหุ้นจริงๆ มาเป็นเจ้าของ แค่ทำสัญญาซื้อขายส่วนต่างของราคาที่เราเข้ากับราคาปัจจุบัน ข้อดีคือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง (เพราะมี Leverage หรือมาร์จิ้นมาช่วย) และสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น (เปิดสถานะ Long) และขาลง (เปิดสถานะ Short) แพลตฟอร์มซื้อขายระหว่างประเทศหลายแห่ง อย่าง Moneta Markets ก็มีให้บริการเทรดดัชนี US100 ในรูปแบบ CFD ครับ เวลาเทรดแบบนี้ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอย่าง ค่า Swap หรือ ค่าสเปรด ให้เราพิจารณาด้วย

ถ้าให้เปรียบเทียบกับดัชนีอื่นๆ ในสหรัฐฯ ที่คนนิยม อย่าง “S&P 500” ล่ะ สองตัวนี้ต่างกันยังไง? ง่ายๆ เลยคือ S&P 500 จะรวมบริษัทใหญ่ 500 แห่งจากทั้งตลาด NYSE และ NASDAQ เลยครับ กระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ ถือเป็นตัวแทนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กว้างกว่า US100 ที่เน้นไปที่ 100 บริษัทบน NASDAQ และส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีครับ แม้ว่าหุ้นใหญ่ๆ 5 อันดับแรกของทั้งสองดัชนีจะคล้ายกัน (Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, Nvidia) แต่น้ำหนักของหุ้น 5 ตัวนี้ใน US100 จะเยอะกว่า S&P 500 เกือบเท่าตัวเลยครับ (US100 ประมาณ 46% vs S&P 500 ประมาณ 23%) ทำให้ US100 มีความกระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยีมากกว่า S&P 500 ที่กระจายไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น สถาบันการเงิน พลังงาน สุขภาพ ด้วย

โดยปกติแล้ว ทั้ง US100 และ S&P 500 มักจะวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน แต่เนื่องจาก US100 เน้นหุ้นเติบโตสูงๆ ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีบูม US100 ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า S&P 500 ได้ครับ แต่ในทางกลับกัน ช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดนเท หรือเศรษฐกิจภาพรวมแย่มากๆ US100 ก็อาจจะปรับตัวลงแรงกว่า S&P 500 ที่มีการกระจายความเสี่ยงในอุตสาหกรรมที่หลากหลายกว่าได้เหมือนกันครับ

สรุปง่ายๆ us100 คือ ดัชนีที่น่าจับตามองมากๆ สำหรับนักลงทุนยุคใหม่ที่สนใจการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก มันให้โอกาสในการรับผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่ต้องทำความเข้าใจและบริหารจัดการให้ดีครับ

⚠️ **ข้อควรรู้และคำเตือน:**

* ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ ดัชนีที่เคยขึ้นแรงๆ ไม่ได้แปลว่าจะขึ้นแบบนั้นตลอดไป
* การลงทุนหรือเทรดดัชนีมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะถ้ามีการใช้เครื่องมืออย่างมาร์จิ้นหรือเลเวอเรจเข้ามาช่วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งโอกาสทำกำไรและโอกาสขาดทุนไปพร้อมๆ กัน
* การตัดสินใจลงทุนใดๆ จากข้อมูลนี้ ท่านต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวเองนะครับ ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือเทรดใน us100 ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้รอบคอบ ทำความเข้าใจกลไกของดัชนี ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และรูปแบบการลงทุน/เทรดที่เราเลือกให้ดี
* หากเป็นนักลงทุนที่มีเงินทุนหมุนเวียน (สภาพคล่อง) ไม่สูง หรือรับความเสี่ยงสูงมากๆ ไม่ได้ อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนลงทุนในเครื่องมือที่มีความผันผวนสูงอย่าง US100 หรืออาจจะลองศึกษาการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้แทนครับ

ขอให้ทุกคนที่สนใจ us100 โชคดีกับการศึกษาและตัดสินใจลงทุนนะครับ! ตลาดนี้มีเสน่ห์ แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกันครับ.

Leave a Reply