
ช่วงนี้ใครๆ ก็พูดเรื่องหุ้นใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะถ้าใครได้ติดตามข่าวตลาดต่างประเทศ อาจจะเห็นคำว่า S&P 500 index เด้งขึ้นมาบ่อยๆ แถมยังทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) เอาซะงงว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมตลาดหุ้นอเมริกาถึงดูคึกคักผิดปกติ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ดูหงอยๆ เหงาๆ ไปพักใหญ่
จริงๆ แล้ว เบื้องหลังความคึกคักนี้ มาจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาค่อนข้างเป็นใจครับ ลองนึกภาพดูนะ… ปกติถ้าเงินเฟ้อสูงลิ่ว (ราคาสินค้าแพงปรี๊ด!) กับคนแห่ไปทำงานจนหาคนว่างงานแทบไม่ได้ (ตลาดแรงงานร้อนแรง!) ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Fed เขาก็ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ เพื่อชะลอเศรษฐกิจ เหมือนเบรกหัวทิ่ม เพื่อให้ทุกอย่างช้าลงและเงินเฟ้อลดลง
แต่ช่วงนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อดูเหมือนจะ ‘เย็นลง’ กว่าที่หลายคนกังวล และตัวเลขคนขอรับสวัสดิการว่างงานก็ดูจะ ‘ขยับขึ้น’ บ้างแล้ว… นี่แหละครับ สัญญาณที่ตลาดหุ้นรัก! เพราะมันทำให้เกิด ‘ความหวัง’ ว่า Fed อาจจะใกล้ถึงจุด ‘พอแล้ว’ กับการขึ้นดอกเบี้ย หรืออย่างน้อยก็ไม่ขึ้นหนักเท่าเดิมแล้ว ความหวังนี้เองที่เป็นเชื้อเพลิงสำคัญให้ดัชนี S&P 500 index และ Nasdaq พากันทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ได้เรื่อยๆ ราวกับได้น้ำมันดีเซลชั้นยอดเลยทีเดียว
นอกจากเรื่องดอกเบี้ยแล้ว อีกพระเอกที่ดันตลาดช่วงนี้แบบสุดๆ ก็คือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือที่เราเรียกกันว่า AI นี่แหละครับ ลองมองไปรอบๆ ตัวสิ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ AI ไปหมด ทั้งในมือถือ ในคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ในโรงงาน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง หรือแม้แต่แค่ได้อานิสงส์ เช่น Nvidia (ผู้ผลิตชิปเทพๆ), Microsoft, หรือ Adobe กลายเป็นดาวเด่นที่นักลงทุนแห่เข้าไปซื้อ ขายดีเทน้ำเทท่า เหมือนแย่งกันซื้อของลดราคาช่วง Black Friday

หุ้นเหล่านี้มีน้ำหนักค่อนข้างเยอะในดัชนีใหญ่ๆ อย่าง S&P 500 index นะครับ ลองนึกภาพบริษัทใหญ่ๆ แบบ Apple ที่เพิ่งกลับมาเป็นบริษัทมูลค่าตลาดสูงสุดในสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือ Microsoft ที่ลงทุนใน AI เต็มสูบ แค่หุ้นสองตัวนี้ก็มีผลต่อ S&P 500 ไม่น้อยเลยครับ ขณะที่บางบริษัทอย่าง Amazon ในส่วนธุรกิจคลาวด์ (AWS) ก็ยังมีความท้าทายระยะสั้นที่ต้องเผชิญอยู่บ้าง แต่ภาพรวมของกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้น AI คือแรงส่งที่ชัดเจนมากๆ ในตอนนี้
ทีนี้… ไอ้เจ้าดัชนี S&P 500 index ที่พูดถึงบ่อยๆ นี่มันคืออะไรกันแน่นะ? อธิบายง่ายๆ ก็คือ มันเป็นเหมือน ‘ตัวแทน’ หรือ ‘ภาพรวม’ ของบริษัทใหญ่ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 500 แห่งครับ คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมประมาณ 80% เลยทีเดียว เหมือนเรามองไปที่ 500 บริษัทเบอร์ต้นๆ ของอเมริกานั่นแหละ S&P 500 ถือเป็นดัชนีมาตรฐาน (benchmark) ที่คนส่วนใหญ่ใช้วัดผลตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลยนะ เวลาได้ยินข่าวว่าตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่ก็อิงจากดัชนีตัวนี้แหละครับ กองทุนหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ก็มักจะอ้างอิงกับ S&P 500 index นี่แหละครับ

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยหรูไปหมดนะครับ แม้ดัชนี S&P 500 index จะทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเหมือนกันว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเงินลงทุนบางส่วนถูกถอนออกจากกองทุนที่อิงกับ S&P 500 index ด้วยนะ นี่อาจจะสะท้อนว่านักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะ ‘ขายทำกำไร’ หลังตลาดขึ้นมาเยอะ หรืออาจจะยังมีความกังวลบางอย่างอยู่ เช่น เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่แม้จะมีหวังว่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ก็อาจจะยังอยู่ในระดับสูงไปอีกนาน หรือความท้าทายทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ แม้ภาพรวมจะดูดีก็ตาม
สรุปแล้ว ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 index วิ่งแรงช่วงนี้ หลักๆ ก็มาจากสองแรงหนุนใหญ่ๆ คือ ‘ความหวังว่า Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย’ ซึ่งมาจากข้อมูลเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่ดูจะผ่อนคลายลง และ ‘กระแส AI ที่แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่’ ที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนอย่างมากครับ สำหรับคนที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ ก็มีหลายช่องทางให้เลือกครับ เช่น ผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศบางรายที่น่าเชื่อถือ อย่างแพลตฟอร์มที่ให้บริการหลายอย่าง เช่น Moneta Markets ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่มีเครื่องมือและข้อมูลให้ศึกษา
แต่จำไว้เสมอว่า ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง ข้อมูลเศรษฐกิจหรือข่าวด่วนอาจพลิกได้เสมอ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจนะครับ ไม่ใช่เห็นเขาว่าดีก็กระโดดตามไปหมด โดยเฉพาะหากคุณมีเงินทุนจำกัด หรือต้องการใช้เงินในระยะเวลาอันใกล้ ควรประเมินความเสี่ยงและสภาพคล่องของตัวเองให้ดีก่อนนะครับ เพราะแม้ S&P 500 index จะดูดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกหุ้นในนั้นจะดีเสมอไป และตลาดก็มีโอกาสปรับฐานได้ตลอดเวลาครับ