เพื่อนผมชื่อ ‘น้องโอ๊ต’ เพิ่งไลน์มาถามตอนเช้าครับ ว่าเห็นข่าวหุ้นอเมริกาขึ้นเอาๆ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) เกือบทุกวันช่วงนี้ มันคืออะไรกันแน่ แล้วถ้าอยากลงทุน จะเริ่มต้นยังไงดี? แหม… เจอคำถามนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน ผมนี่คันไม้คันมืออยากจะเล่าให้ฟังเลยครับ
เอาแบบเข้าใจง่ายๆ เลยนะ ดัชนี S&P 500 เนี่ย เปรียบเสมือน “หัวใจ” ของตลาดหุ้นอเมริกา หรือจะบอกว่าเป็นตัวแทนบริษัทใหญ่ๆ เจ๋งๆ 500 แห่งในสหรัฐฯ ก็ได้ครับ คิดง่ายๆ ว่าถ้า S&P 500 ขึ้น ตลาดหุ้นอเมริกาส่วนใหญ่ก็มักจะคึกคักตามไปด้วย เพราะ 500 บริษัทนี้รวมกันแล้วมีมูลค่าถึง 80% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดเลยนะ เรียกว่ารวมตัวท็อปไว้เกือบหมด
คราวนี้เพื่อนผม ‘น้องโอ๊ต’ ก็ถามต่อว่า แล้วบริษัทไหนใหญ่สุดในนี้? คำตอบคือดัชนี S&P 500 เนี่ย เขาใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market-Cap Weighted) ครับ หมายความว่าบริษัทไหนใหญ่ มูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากเป็นพิเศษ เหมือนในห้องเรียนน่ะครับ เด็กตัวใหญ่กว่า เสียงดังกว่า ก็มีอำนาจในการโหวตมากกว่า (ฮ่าๆ) ข้อมูลล่าสุดบอกว่าแค่ Apple (แอปเปิล) กับ Microsoft (ไมโครซอฟท์) สองบริษัทนี้ก็มีน้ำหนักในดัชนีรวมกันถึง 13% เข้าไปแล้ว และแค่ 10 อันดับแรกในดัชนีเนี่ย น้ำหนักรวมกันก็ปาเข้าไป 35.6% แล้วนะ มากกว่า 300 บริษัทที่เล็กที่สุดในดัชนีรวมกันซะอีก!

ตรงนี้แหละครับ ที่บางคนอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ… แบบนี้ผลตอบแทนของ S&P 500 ก็ขึ้นอยู่กับหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัวสิ? ถ้าหุ้นใหญ่ๆ เหล่านี้มีปัญหา ดัชนีก็แย่ตามไปด้วยเลยสิ? นี่คือความเสี่ยงแบบหนึ่งครับ
ด้วยเหตุนี้เอง โลกการลงทุนก็มีทางเลือกที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ s&p 500 index fund หรือกองทุนที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 แบบ “ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน” (Equal Weight) ยกตัวอย่างเช่นกองทุน Invesco S&P 500 Equal Weight ETF (RSP) กองทุนนี้ก็ลงทุนในบริษัท 500 แห่งเดียวกันเป๊ะครับ แต่! ทุกบริษัทจะมีน้ำหนักในพอร์ตเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็น Apple ตัวยักษ์ หรือบริษัทเล็กที่สุดใน 500 บริษัทนั้น ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากันหมด! วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวอยู่ในหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัวได้ดีกว่า
แล้วผลตอบแทนล่ะ แบบไหนดีกว่ากัน? น่าสนใจมากครับ แม้ในช่วงหลังๆ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่น้ำหนักเยอะๆ ใน S&P 500 แบบปกติจะปรับตัวขึ้นมาแรงมาก แต่ถ้าย้อนดูข้อมูลระยะยาว 40 ปีเนี่ย ดัชนี S&P 500 Equal Weight กลับให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักปกติถึง 400 จุดเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ (400 Basis Points หรือ 4% ต่อปีโดยเฉลี่ย อันนี้ต้องไปดูตัวเลขเต็มๆ อีกที แต่ข้อมูลดิบบอกว่าสูงกว่า 400 จุดเปอร์เซ็นต์รวมตลอด 40 ปี) ซึ่งก็น่าคิดว่าการกระจายความเสี่ยงแบบเท่าๆ กันก็มีดีในระยะยาวเหมือนกันนะ
ทีนี้กลับมาที่คำถาม ‘น้องโอ๊ต’ ว่าถ้าอยากลงทุนใน S&P 500 ง่ายๆ ล่ะ ต้องทำยังไง? นี่ไงครับ ตัวช่วยของเราก็คือ s&p 500 index fund หรือที่ฮิตๆ กันก็คือกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่อ้างอิงดัชนีนี้แหละครับ กองทุนเหล่านี้มีเป้าหมายคือการเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ให้ใกล้เคียงที่สุด

กองทุน S&P 500 ETF ยอดนิยมในตลาดโลกก็มีหลายเจ้าครับ ที่รู้จักกันดีก็เช่น Vanguard S&P 500 ETF (VOO), SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY), หรือ Schwab S&P 500 Index Fund (SWPPX) ข้อดีสุดๆ ของกองทุนพวกนี้คือ “อัตราส่วนค่าใช้จ่าย” (Expense Ratio) ที่ต่ำมากๆ ครับ ลองดูตัวเลขนะ VOO แค่ 0.03%, SWPPX แค่ 0.020% ส่วน SPY จะสูงหน่อยที่ 0.0945% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายนี้ก็คือค่าธรรมเนียมจิ๋วๆ ที่เขาหักจากมูลค่าทรัพย์สินที่เราลงทุนไปบริหารจัดการกองทุนนั่นแหละครับ ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะเงินเราก็จะได้เติบโตเต็มที่โดยไม่ถูกหักค่าบริหารเยอะเกินไป
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 5 กรกฎาคม 2024 บอกเราว่า ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,567.19 จุด พุ่งขึ้น 0.54% ในวันเดียว และทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ด้วยครับ ถ้าดูตั้งแต่ต้นปี (Year-to-Date หรือ YTD) ดัชนีนี้ให้ผลตอบแทนบวกไปแล้ว 16.72% ส่วนผลตอบแทนในรอบ 1 ปีนี่สุดยอดไปเลยครับ +25.19% กองทุนอย่าง VOO เองก็ให้ผลตอบแทน YTD ใกล้เคียงกันคือ 17.44% (ดูจากราคาตลาด) หรือ 17.55% (ดูจาก NAV) ส่วน SWPPX ซึ่งเป็นกองทุนรวมดัชนี S&P 500 ขนาดใหญ่ (มีสินทรัพย์รวมเกือบแสนล้านเหรียญสหรัฐ!) ผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2024 ก็ไม่น้อยหน้าครับ YTD +11.27%, 1 ปี +28.14%, 5 ปี +15.77%, และ 10 ปี +12.63% ตัวเลขพวกนี้ตอกย้ำเลยว่า การลงทุนใน s&p 500 index fund ระยะยาวเนี่ย ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจมากๆ และใกล้เคียงกับดัชนีแม่บทสุดๆ ครับ
แล้วอะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาช่วงนี้คึกคักขนาดนี้ล่ะครับ? ปัจจัยสำคัญมาจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อยครับ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนมีนาคม 2023 ตอนนั้นออกมาแค่ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือว่าชะลอตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2021 เลยนะ บวกกับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดแรงงานเริ่มผ่อนคลายลงหน่อยๆ
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) อาจจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วครับ พอดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นต่อ หรืออาจจะเริ่มเห็นสัญญาณการลดดอกเบี้ยในอนาคต มันก็เป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นไงครับ เพราะต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทลดลง การลงทุนก็น่าดึงดูดขึ้นเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตร

แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวดีนะครับ โลกของการลงทุนมันก็มีเรื่องที่ต้องระวังอยู่เสมอ อย่างตอนเดือนเมษายน 2023 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็เคยเตือนถึงความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยนะครับ แม้ตอนนี้สัญญาณจะดูดีขึ้น แต่ความไม่แน่นอนก็ยังอยู่ คู่กับประเด็นการลงทุนแบบ Passive (อย่างกองทุนดัชนี S&P 500 นี่แหละ) กับ Active ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าแบบไหนดีกว่ากัน (แต่สถิติระยะยาวของกองทุนดัชนี Passive ก็พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควรแล้วนะ)
ดังนั้น ถ้า ‘น้องโอ๊ต’ หรือใครก็ตามที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์การลงทุนของโลก การลงทุนใน s&p 500 index fund หรือ ETF ที่อ้างอิงดัชนีนี้ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ เพราะคุณได้กระจายความเสี่ยงไปยัง 500 บริษัทชั้นนำของอเมริกาในคราวเดียว ด้วยต้นทุนที่ต่ำมากๆ เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่งคั่งครับ
แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตเสมอไป ก่อนลงทุนใน s&p 500 index fund หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เข้าใจความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และลงทุนด้วยเงินเย็นที่เรายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะสั้นนะครับ จะได้นอนหลับสบายใจ ไม่ต้องมานั่งลุ้นตัวโก่งตามดัชนีทุกวันครับ