S&P 500: ไขความลับดัชนีที่นักลงทุนต้องรู้!

สวัสดีครับนักลงทุนและเพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องการเงินทุกคน! ผมในฐานะคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาพักใหญ่ ได้รับคำถามยอดฮิตอยู่เสมอว่า “ดัชนี S&P 500 ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆ มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตเราหรือเปล่า?” ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่เชื่อไหมครับว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีตัวนี้ มีผลกระทบกับตลาดการเงินทั่วโลก แม้กระทั่งในบ้านเราอย่างอ้อมๆ ด้วยนะ

ลองนึกภาพตามง่ายๆ ครับ ถ้าประเทศไทยมีตลาดหุ้นที่สะท้อนสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ ทั้งหมดในประเทศ S&P 500 ก็เปรียบเสมือน “เครื่องวัดสุขภาพ” แบบนั้นเลยครับ แต่เป็นของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P 500 เนี่ย เขาไม่ได้วัดหุ้นทุกตัวในสหรัฐฯ นะครับ แต่เลือกเอาบริษัทขนาดใหญ่สุด 500 แห่งมาเป็นตัวแทน ซึ่งบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เป็นตัวท็อปของวงการในหลากหลายอุตสาหกรรม ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมของหุ้นสหรัฐฯ ไปกว่า 80% เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ถ้า 500 เจ้านี้แข็งแรง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มที่ดีตามไปด้วย

ดัชนี S&P 500 มีประวัติยาวนาน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1957 โน่นแน่ะครับ ดำเนินการโดย S&P Dow Jones Indices และมีการซื้อขายกันคึกคักในตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ อย่าง NYSE หรือ Nasdaq วิธีคำนวณก็ซับซ้อนนิดหน่อย คือใช้แบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่หมุนเวียนอิสระ พูดง่ายๆ คือ บริษัทไหนใหญ่มาก มูลค่าตลาดสูง ก็จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 มากตามไปด้วย ข้อมูลล่าสุด ณ 31 ธันวาคม 2024 (!) มูลค่าตลาดรวมของบริษัทใน S&P 500 พุ่งไปถึงประมาณ 52.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียวครับ

ทีนี้มาดูบรรยากาศตลาดช่วงนี้กันบ้างครับ หลายคนอาจจะเห็นข่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่เรื่อยๆ ช่วงที่ผ่านมา ใช่ครับ ตลาดดูคึกคักขึ้นเยอะเลย สาเหตุหลักๆ มาจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศออกมา เริ่มเห็นสัญญาณ “ชะลอตัว” ลงบ้าง อย่างอัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ทั้งในระดับผู้บริโภค (CPI) และผู้ผลิต (PPI) ที่ดูเหมือนจะพีคแล้วและกำลังปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงตัวเลขตลาดแรงงาน (Labor Market) ที่เริ่มผ่อนคลายลงหน่อยๆ เห็นได้จากจำนวนคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่าปี

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้น “ดีใจ” ครับ เพราะตีความว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ที่เคยกังวลเรื่องเงินเฟ้อหนักๆ จนต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) มาตลอด อาจจะใกล้ถึงจุดที่ต้อง “หยุด” หรือ “ชะลอ” การขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งโดยทั่วไป การที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยในอนาคต ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ เพราะต้นทุนทางการเงินถูกลง เงินก็มีโอกาสไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องน่ากังวลเลยนะครับ ถึงแม้จะมีหวังเรื่อง Fed แต่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ก็ยังคงวนเวียนอยู่ ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ตลาด S&P 500 ผันผวนได้ก็มีอีกเพียบ เช่น ความกังวลเรื่องภาษี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่แน่นอน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง หรือแม้แต่ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อการจ้างงานในอนาคต ก็ล้วนเป็นเรื่องที่นักลงทุนจับตาดูอยู่ตลอด

ถ้าถามว่าใครเป็นพระเอกของตลาด S&P 500 ในปีนี้ บอกได้เลยว่า “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ AI คือตัวขับเคลื่อนหลักเลยครับ นำทีมมาโดยบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดี ไม่ว่าจะเป็น Apple, Nvidia, Microsoft, Amazon, Meta, Alphabet (บริษัทแม่ Google) ซึ่งหุ้นอย่าง Nvidia นี่มีส่วนอย่างมากในการดันผลตอบแทนของ S&P 500 ในปีนี้ให้ดูสวยงาม ใครที่ถือหุ้นเหล่านี้ไว้ ก็ยิ้มแก้มปริกันไป แต่ใช่ว่าจะมีแค่เทคโนโลยีนะครับ ในดัชนี S&P 500 ยังมีบริษัทชั้นนำในภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น Tesla, Berkshire Hathaway, Jpmorgan Chase & Co., Eli Lilly & Co. หรือ Walmart เป็นต้น ตัวอย่างที่น่าสนใจใน S&P 500 อย่าง Motorola Solutions ก็เป็นอีกเคสที่นักวิเคราะห์มองว่าน่าสนใจจากพื้นฐานธุรกิจความปลอดภัยสาธารณะ กระแสเงินสดอิสระที่ดี และประวัติการจ่ายปันผลที่ดีครับ

มาดูผลการดำเนินงานย้อนหลังของดัชนี S&P 500 กันหน่อยครับ เพื่อให้เห็นภาพรวมระยะยาว แม้ระยะสั้นจะผันผวน แต่ถ้ามองยาวๆ เนี่ย ผลตอบแทนถือว่าน่าพอใจมากนะครับ ผลตอบแทน 5 ปีที่ผ่านมา พุ่งไปกว่า 114% เลยทีเดียว (ข้อมูล ณ ช่วงเวลาล่าสุด) ปีล่าสุดนี้ (YTD ณ 5 ก.ค. 2024) ก็บวกไปกว่า 16.72% ส่วนผลตอบแทน 1 ปี ก็สูงถึงประมาณ 25.19% ครับ ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาก หลังจากที่ปี 2022 S&P 500 เคยปรับฐานลงไปเกือบ -20% เลยทีเดียว ก่อนจะเด้งกลับมาแรงๆ ในปี 2023 และ 2024 ช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในรอบ 1 เดือน S&P 500 ก็มีติดลบไปเล็กน้อยให้เห็นถึงความผันผวนในระยะสั้นครับ จุดสูงสุดใหม่ล่าสุดที่ทำได้ ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2024 อยู่ที่ 5,570.33 จุดครับ

แล้วถ้าเราเป็นนักลงทุนทั่วไปที่สนใจ S&P 500 จะเข้าไปลงทุนยังไงได้บ้าง? มีเครื่องมือทางการเงินหลายอย่างที่อ้างอิงกับดัชนีตัวนี้ครับ ที่นิยมและเข้าถึงได้ง่ายหน่อยก็คือ กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) เช่น กองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust หรือเรียกย่อๆ ว่า SPY ซึ่งเป็นกองทุนที่พยายามเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ให้ใกล้เคียงที่สุด การลงทุนใน ETF ก็เหมือนซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์บ้านเรานี่แหละครับ แต่อย่าลืมว่าการลงทุนใน ETF ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น อาจมี “Tracking Error” คือผลตอบแทนคลาดเคลื่อนจากดัชนีอ้างอิงบ้าง หรือในภาวะตลาดผันผวน ราคาซื้อขายในตลาดอาจไม่เท่ากับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) จริงๆ ก็ได้

อีกเครื่องมือหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้นและต้องการสภาพคล่องมากๆ คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อ้างอิง S&P 500 เช่น E-mini S&P 500 futures (ES) อันนี้ซื้อขายได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็มีความซับซ้อนและใช้ Leverage สูงกว่า เหมาะกับนักลงทุนมืออาชีพมากกว่าครับ

สรุปง่ายๆ ครับว่า ดัชนี S&P 500 คือหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นเหมือนตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจของเขา การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนโยบายการเงินของ Fed ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ และกระแสความสนใจในหุ้นกลุ่มหลักๆ อย่างเทคโนโลยีและ AI แม้ระยะสั้นจะผันผวน แต่ในระยะยาวก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโต

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ อยากจะฝากไว้ว่า การลงทุนใน S&P 500 ผ่านเครื่องมือต่างๆ ก็เป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดที่ใหญ่และมีความหลากหลายสูง แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะของเครื่องมือการลงทุนนั้นๆ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองก่อนเสมอครับ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้เท่านั้น ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

Leave a Reply