S&P 500 มีหุ้นอะไรบ้าง? ไขหมดเปลือก ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก

โอเคครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย ผมจะนำข้อมูลดิบที่คุณให้มาเรียบเรียงใหม่ให้อ่านสนุก เหมือนนั่งคุยกับเพื่อน พร้อมใส่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย สอดแทรกคีย์เวิร์ด “s&p 500 มีหุ้นอะไรบ้าง” แบบเนียนๆ และไม่ลืมหลักการ EEAT ครับ

มาเริ่มกันเลยครับ

***

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับ เวลาที่เราเห็นข่าวต่างประเทศพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกาพุ่งปรี๊ด ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือบางทีก็ดิ่งเหวลงไปเนี่ย เค้าเอาอะไรมาวัดกัน? มันมีดัชนีหลักๆ อยู่หลายตัวครับ แต่ถ้าจะเอาแบบเป็น “หน้าตา” หรือ “ตัวแทน” ของบริษัทอเมริกาส่วนใหญ่ ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกจริงๆ เนี่ย ดัชนี S&P 500 ถือเป็นพระเอกตัวจริงเลยครับ

แล้วไอ้เจ้า S&P 500 ที่ว่าเนี่ย s&p 500 มีหุ้นอะไรบ้าง? ทำไมถึงสำคัญนักหนา? วันนี้เรามาทำความรู้จักกับดัชนีตัวนี้ให้ลึกขึ้นอีกหน่อยดีกว่าครับ รับรองว่าเข้าใจง่าย ไม่ต้องเป็นเซียนหุ้นก็อ่านได้เพลินๆ

**S&P 500 คืออะไร? ง่ายกว่าที่คิดเยอะ!**

ถ้าเปรียบตลาดหุ้นอเมริกาเป็นงานปาร์ตี้ใหญ่ S&P 500 ก็เหมือนกับ “รายชื่อแขก VIP 500 คน” ที่สำคัญที่สุดในงานนั้นแหละครับ

พูดแบบทางการหน่อย S&P 500 ย่อมาจาก Standard & Poor’s 500 ครับ เป็นดัชนีตลาดหุ้นที่รวบรวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักๆ อย่าง NYSE หรือ NASDAQ ครับ ไม่ใช่ว่าแค่ 500 บริษัทเล็กๆ น้อยๆ นะครับ แต่ 500 บริษัทนี้มีมูลค่ารวมกันมหาศาล กินสัดส่วนไปกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในอเมริกาเลยทีเดียว ทำให้มันเป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลังมากๆ ครับ ใช้ดูภาพรวมสุขภาพเศรษฐกิจของอเมริกาได้เลย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 โน่นแน่ะ เก่าแก่และน่าเชื่อถือมากๆ ครับ

**ไม่ใช่ใครก็เข้า S&P 500 ได้นะจ๊ะ!**

หลายคนอาจจะคิดว่า แค่เป็นบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาก็เข้า S&P 500 ได้เลยใช่ไหม? ไม่ใช่ครับ! คณะกรรมการของ S&P Dow Jones Indices เค้ามีเกณฑ์คัดเลือกที่เข้มงวดพอสมควร เหมือนต้องผ่านด่านโหดๆ หลายด่านเลยครับ

เกณฑ์หลักๆ ที่เค้าดูก็ประมาณนี้ครับ (อาจมีปรับเปลี่ยนบ้างตามยุคสมัยนะครับ):

1. **ต้องเป็นบริษัทอเมริกันแท้ๆ:** มีที่ตั้งหลักในอเมริกา และส่วนใหญ่ของสินทรัพย์กับรายได้ต้องมาจากที่นั่น
2. **ต้อง “ใหญ่จริง”:** มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) สูงมากๆ ครับ ตัวเลขเกณฑ์ขั้นต่ำนี่ก็ปรับขึ้นเรื่อยๆ ตามภาวะตลาดครับ อย่างในปี 2024 เนี่ย ก็ว่ากันว่าต้องหลายพันล้านดอลลาร์ขึ้นไปเลย
3. **ซื้อขายคึกคัก:** หุ้นต้องมีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย ไม่ใช่หุ้นที่นานๆ ทีจะมีการซื้อขาย
4. **หุ้นส่วนใหญ่ต้องลอยตัว:** หรือที่เรียกว่า Free-float คือหุ้นอย่างน้อย 50% ต้องกระจายให้นักลงทุนทั่วไปซื้อขายได้ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ที่เจ้าของหรือกลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นหลัก
5. **ทำกำไรต่อเนื่อง:** ต้องมีผลกำไรเป็นบวกใน 4 ไตรมาสล่าสุด (ครบ 1 ปี) ครับ อันนี้สำคัญมาก แสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัท
6. **ราคาหุ้นเหมาะสม:** ราคาต่อหุ้นต้องไม่ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์
7. **ส่งรายงานครบ:** ต้องยื่นรายงานประจำปีที่เรียกว่า 10-K ให้หน่วยงานกำกับดูแล
8. **จดทะเบียนในตลาดหลัก:** เช่น NYSE, NASDAQ ห้ามเป็นพวกตลาดนอกกระดาน (Over-the-counter)

ที่สำคัญคือ เค้าจะพยายามให้บริษัทที่อยู่ในดัชนีเนี่ย เป็นตัวแทนของภาคส่วนเศรษฐกิจต่างๆ ทั้ง 11 ภาคส่วนด้วยครับ จะได้สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกาได้ครบถ้วน

**แล้วใน S&P 500 มีหุ้นอะไรบ้างที่ “น้ำหนักเยอะ”?**

มาถึงคำถามยอดฮิตเลยครับ s&p 500 มีหุ้นอะไรบ้างที่เด่นๆ ตัวท็อปๆ?

อย่างที่บอกไปว่าดัชนี S&P 500 เนี่ย เค้าคำนวณแบบ “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” ครับ แปลง่ายๆ คือ บริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงๆ หุ้นตัวนั้นก็จะมีอิทธิพลหรือมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 มากกว่าหุ้นตัวเล็กๆ ครับ

ลองจินตนาการว่าดัชนีคือค่าเฉลี่ยของห้องเรียนที่มีนักเรียน 500 คน แต่นักเรียนบางคนตัวใหญ่กว่าคนอื่น เวลาคนตัวใหญ่ได้คะแนนเยอะหรือน้อย มันก็จะไปดึงค่าเฉลี่ยรวมได้เยอะกว่าคนตัวเล็กครับ

ด้วยวิธีการถ่วงน้ำหนักแบบนี้ ทำให้หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “Big Tech” มีอิทธิพลสูงมากๆ ครับ

ณ ช่วงปลายปี 2024 ภาคส่วนที่มีน้ำหนักเยอะที่สุดใน S&P 500 ก็คือ “ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ” ครับ กินไปกว่า 30% เลยทีเดียว รองลงมาก็เป็นภาคการเงิน, การดูแลสุขภาพ และสินค้าฟุ่มเฟือย ครับ

ส่วนบริษัทที่เป็น “พี่ใหญ่” มีน้ำหนักเยอะสุดๆ ในดัชนี S&P 500 ก็มักจะเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น

* **Apple (AAPL):** เจ้าพ่อไอโฟน แมคบุ๊ก และสารพัดนวัตกรรม
* **Microsoft (MSFT):** ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ คลาวด์ และ AI
* **Amazon.com (AMZN):** ผู้นำอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้ง
* **Meta (META):** เจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp และโลกเสมือน
* **Alphabet (GOOGL, GOOG):** บริษัทแม่ของ Google นั่นเอง
* **Nvidia (NVDA):** ผู้ผลิตชิปประมวลผลสำหรับเกมและ AI ที่มาแรงสุดๆ ในช่วงนี้
* **Berkshire Hathaway (BRK.A, BRK.B):** บริษัทลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง
* **Johnson & Johnson (JNJ):** บริษัทด้านการดูแลสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค
* **Procter & Gamble (PG):** เจ้าของแบรนด์สินค้าในชีวิตประจำวันมากมาย เช่น ผงซักฟอก แชมพู ยาสีฟัน

และยังมีบริษัทใหญ่อื่นๆ อีกมากมายรวมกันให้ครบ 500 บริษัทครับ การที่เรารู้ว่า s&p 500 มีหุ้นอะไรบ้าง หรือหุ้นตัวไหนมีน้ำหนักเยอะ ก็ช่วยให้เราเข้าใจการเคลื่อนไหวของดัชนีได้ดีขึ้นครับ เพราะถ้าหุ้นพวกนี้ราคาขึ้น ดัชนีรวมก็มักจะขึ้นตาม และในทางกลับกันครับ

**ผลตอบแทนในอดีต: S&P 500 วิ่งมาไกลแค่ไหน?**

ย้อนกลับไปดูในอดีต ดัชนี S&P 500 มีประวัติผลตอบแทนที่น่าสนใจมากๆ ครับ นับตั้งแต่ก่อตั้งมา มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 12% และถ้าคิดรวมเงินปันผลที่บริษัทต่างๆ จ่ายให้นักลงทุนด้วย ผลตอบแทนเฉลี่ยจะสูงกว่า 15% ต่อปีเลยทีเดียวครับ

ถึงแม้จะเคยเจอวิกฤตหนักๆ มาหลายครั้ง ทั้งวิกฤต dot-com, วิกฤตการเงินปี 2008 หรือวิกฤตโรคระบาด แต่ในระยะยาว S&P 500 ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวและเติบโตได้เสมอครับ

ลองดูผลตอบแทนในช่วงใกล้ๆ นี้ก็ได้ครับ

* ในปี 2023 ที่ผ่านมา S&P 500 ก็ทำผลงานได้ดีเลยครับ มีหุ้นหลายตัวที่ราคาพุ่งกระฉูด อย่าง Nvidia ที่ขึ้นไปถึง +245% หรือ Meta (Facebook) ที่ +199% เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็มีบางบริษัทที่ราคาปรับลงหนักเหมือนกัน เช่น Pfizer หรือ Moderna
* สำหรับปี 2024 ณ ช่วงปลายปีที่ข้อมูลนี้ถูกอ้างอิง ดัชนี S&P 500 ก็ยังคงทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ปรับตัวขึ้นไปถึงกว่า 25% และทำสถิติสูงสุดตลอดกาล (All Time High) อย่างต่อเนื่อง หุ้นที่ขึ้นแรงๆ ในปี 2024 ก็มีอีกหลายตัวเลยครับ เช่น Palantir (PLTR), Vistra Corp (VST), United Airlines (UAL) และแน่นอนว่า Nvidia ก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวที่ขึ้นแรงต่อเนื่องครับ ผลตอบแทนรวม (ราคา+เงินปันผล) YTD ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2024 อยู่ที่ประมาณ 28.35%

ผลตอบแทนพวกนี้เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งครับ แต่ก็ย้ำอีกทีว่า **ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้การันตีผลการดำเนินงานในอนาคต** นะครับ!

**อะไรที่ทำให้ S&P 500 เคลื่อนไหว?**

การขึ้นลงของดัชนี S&P 500 เนี่ย ก็เหมือนสุขภาพของคนเราครับ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยผสมกันไป

ปัจจัยหลักๆ ก็คือ:

1. **สุขภาพเศรษฐกิจอเมริกา:** ตัวเลขสำคัญๆ อย่าง GDP, อัตราการว่างงาน, การใช้จ่ายของผู้บริโภค มีผลโดยตรง ถ้าเศรษฐกิจดี บริษัทก็มีแนวโน้มทำกำไรดี หุ้นก็ขึ้น ดัชนีก็ขึ้นตาม
2. **นโยบายการเงินของ Fed:** ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า Fed เค้าควบคุมอัตราดอกเบี้ยครับ ถ้า Fed ขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ก็สูงขึ้น อาจกระทบกำไร ตลาดหุ้นก็ไม่ชอบเท่าไหร่ครับ แต่ถ้า Fed ลดดอกเบี้ย หรือใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นก็มักจะดีใจ
3. **ข่าวสารบริษัทใหญ่ๆ:** อย่างที่บอกไปว่าหุ้นพี่ใหญ่น้ำหนักเยอะมาก ข่าวดีข่าวร้ายของบริษัทพวก Apple, Microsoft, Nvidia เนี่ย มีผลต่อดัชนีรวมทั้งก้อนเลยครับ

**S&P 500 มีการ “ปรับเปลี่ยน” สมาชิกด้วยนะ**

เหมือนชมรม VIP ที่ต้องมีการคัดกรองสมาชิกใหม่ตลอดเวลาครับ ดัชนี S&P 500 ก็มีการปรับเปลี่ยนรายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนีเป็นประจำทุกไตรมาสครับ คือในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม

การปรับเปลี่ยนนี้จะมีการประกาศล่วงหน้าในวันศุกร์แรกของเดือน และมีผลบังคับใช้จริงในวันศุกร์ที่สามของเดือนนั้นๆ หลังตลาดปิดครับ

ยกตัวอย่างการปรับล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2567 มีบริษัทที่ถูกเพิ่มเข้ามาในดัชนี S&P 500 คือ Crowdstrike Holdings (CRWD), KKR & Co. (KKR) และ GoDaddy (GDDY) ในขณะที่บริษัทที่ถูกถอดออกไปคือ Robert Half (RHI), Comerica (CMA) และ Illumina (ILMN)

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ดัชนี S&P 500 ยังคงเป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำในอเมริกาอย่างแท้จริงครับ บางบริษัทที่เกณฑ์ถึงและมีแววจะถูกเพิ่มเข้ามาในอนาคตก็มีการพูดถึงกันอยู่เรื่อยๆ ครับ เช่น Dell Technologies (DELL) หรือ Palantir Technologies (PLTR) ที่มีมูลค่าตลาดพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงที่ผ่านมา

**S&P 500 ต่างกับ NASDAQ หรือ Dow Jones ยังไง?**

นอกจาก S&P 500 แล้ว เรายังได้ยินชื่อดัชนีหุ้นอเมริกาอื่นๆ อีก เช่น NASDAQ หรือ Dow Jones แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ?

* **NASDAQ (แนสแด็ก):** ดัชนีนี้จะเน้นไปที่บริษัทกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม และอินเทอร์เน็ตครับ มีจำนวนบริษัทที่อยู่ในดัชนีหลักอย่าง NASDAQ Composite กว่า 3,000 บริษัทเลยทีเดียว หรือถ้าเป็น NASDAQ-100 ก็คือ 100 บริษัทนอกกลุ่มการเงิน NASDAQ ก็ใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกัน แต่มีกลไกบางอย่างเพื่อไม่ให้หุ้นตัวที่ใหญ่มากๆ มีน้ำหนักมากเกินไปครับ เนื่องจากเน้นหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมักเป็นหุ้นเติบโตสูง NASDAQ เลยมีความผันผวนมากกว่า S&P 500 ครับ
* **Dow Jones Industrial Average (DJIA) (ดาวโจนส์):** หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ดาวโจนส์ อันนี้เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดครับ มีบริษัทอยู่แค่ 30 บริษัทเท่านั้น เป็นบริษัทชั้นนำ “เก๋าเกม” จากหลากหลายอุตสาหกรรม วิธีคำนวณของดาวโจนส์ต่างออกไปครับ เค้าใช้การถ่วงน้ำหนักตาม “ราคาหุ้น” ไม่ใช่ตามมูลค่าตลาด ทำให้หุ้นตัวไหนที่ราคาต่อหุ้นสูงๆ ก็จะมีผลต่อดัชนีมากกว่าครับ ถึงแม้จะมีประวัติยาวนานและคนอ้างถึงบ่อย แต่ด้วยจำนวนบริษัทที่น้อยและวิธีคำนวณ อาจทำให้ไม่ได้สะท้อนภาพรวมตลาดอเมริกาได้ครอบคลุมเท่า S&P 500 ครับ

ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ S&P 500 ก็เหมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยอดนิยมที่คนส่วนใหญ่ใช้ NASDAQ อาจจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถสปอร์ตที่เน้นเทคโนโลยี ส่วน Dow Jones ก็อาจจะเป็นรถบรรทุกคันใหญ่ๆ ที่มีมานานแล้ว อะไรประมาณนั้นครับ

**อยากลงทุนตาม S&P 500 ทำได้ไหม?**

ข่าวดีคือนักลงทุนอย่างเราๆ สามารถร่วมเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำทั้ง 500 แห่งใน S&P 500 ได้ครับ โดยไม่ต้องไปไล่ซื้อหุ้นทีละตัวให้เหนื่อยเลย

วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไปก็คือการลงทุนผ่าน **กองทุนรวม หรือ ETF (Exchange Traded Fund) (อีทีเอฟ)** ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี S&P 500 ครับ กองทุนพวกนี้เรียกว่า Passive Fund คือเค้าจะพยายามเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีให้ใกล้เคียงที่สุด มีทั้งกองทุนของไทยที่ไปลงทุนต่อในกองทุนต่างประเทศที่อิง S&P 500 หรือเราจะไปเปิดบัญชีลงทุนตรงกับโบรกเกอร์ต่างประเทศเพื่อซื้อ ETF ที่อิง S&P 500 โดยตรงก็ได้ครับ (อย่างเช่น Moneta Markets ก็เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ แต่ก็ลองศึกษาเปรียบเทียบเงื่อนไขของแต่ละที่ดูนะครับ)

การลงทุนแบบนี้ช่วยให้เราได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้น 500 ตัวพร้อมๆ กัน ในหลากหลายอุตสาหกรรม เหมือนเราได้ลงทุนใน “ภาพรวม” ของเศรษฐกิจอเมริกาไปในตัวเลยครับ

**ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน**

แม้ S&P 500 จะมีประวัติผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เป็นตัวแทนบริษัทชั้นนำ และดูน่าสนใจมากๆ แต่จำไว้เสมอครับว่า **การลงทุนมีความเสี่ยงสูง** ครับ

* การลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ รวมถึงกองทุนที่อิงดัชนี S&P 500 มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้
* อย่างที่ย้ำไป ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่สิ่งที่จะบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรครับ ตลาดหุ้นขึ้นได้ ก็ลงได้
* ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อ S&P 500 เช่น สภาพเศรษฐกิจ สงคราม โรคระบาด นโยบายรัฐบาล สามารถทำให้ดัชนีผันผวนรุนแรงได้

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์ เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ละเอียดที่สุด อ่านหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจถ่องแท้ และที่สำคัญ พิจารณาการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในพอร์ตโดยรวมของเราด้วยครับ อย่าเพิ่งทุ่มเงินทั้งหมดไปที่เดียว

⚠️ **หากเงินส่วนนี้เป็นเงินที่เราอาจจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน แนะนำให้ประเมินความพร้อมทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้นสหรัฐฯ นะครับ**

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจดัชนี S&P 500 และตอบคำถามว่า s&p 500 มีหุ้นอะไรบ้าง ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ตลาดหุ้นอเมริกาน่าสนใจเสมอครับ แต่การลงทุนอย่างเข้าใจและระมัดระวัง คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!

Leave a Reply