ช่วงนี้ข่าวเศรษฐกิจนี่มันงงๆ พิกลใช่ไหมครับ? เดี๋ยวก็เห็นตัวเลขตลาดหุ้นขึ้น เดี๋ยวก็ลง ข่าวโน้นก็ว่าดี ข่าวนี้ก็ว่าเสี่ยง แล้วไหนจะคำว่า S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ที่ได้ยินบ่อยๆ อีก ตกลงมันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมเราต้องไปสนใจด้วย?
ง่ายๆ เลยครับ S&P 500 หรือ เอสแอนด์พี 500 เนี่ย มันเหมือนเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ 500 แห่งในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นระดับโลกที่เราคุ้นชื่อกันดี มันครอบคลุมมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกาไปถึงประมาณ 80% เลยนะ พูดง่ายๆ คือถ้า S&P 500 ขยับไปทางไหน ตลาดหุ้นอเมริกาก็มีแนวโน้มจะไปทางนั้นแหละ มันเลยเป็นตัวที่เราต้องจับตาดูมากๆ

ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกา รวมถึง S&P 500 เนี่ย มีอาการแบบว่า “สับสนเล็กน้อย” เปิดตลาดมาอาจจะดูดี แต่พอปิดตลาด บางวันก็ลงซะงั้น ดัชนีสำคัญหลายตัวเจอแรงกดดันพอสมควร ทั้งจากเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่คนอาจจะดึงออกไป (มีข้อมูลบอกว่ามีช่วงนึงเงินไหลออกจากกองทุนที่อิงดัชนีนี้เยอะมากในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย!) บวกกับปัจจัยภายนอกอื่นๆ อีกเต็มไปหมด สภาพแบบนี้มันก็บอกเราว่าตลาดกำลังชั่งน้ำหนักอยู่น่ะครับ ว่าโอกาสในการลงทุนตอนนี้มันคุ้มกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นไหม
บางคนอาจจะเห็นว่า ดัชนี S&P 500 เคยมีช่วงที่ปรับตัวลงในช่วงต้นปี [2023] ด้วยนะ คือติดลบไป 3 ใน 4 เดือนแรกเลย ซึ่งถ้าไปดูประวัติศาสตร์เก่าๆ มันก็เคยมีนะ ที่การเริ่มต้นปีแบบนี้บางครั้งนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดได้ แต่ก็ต้องย้ำว่า ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ครับ แต่ละปีมันมีปัจจัยเฉพาะตัวของมัน การจะเอาแค่ประวัติศาสตร์มาฟันธงว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นเป๊ะๆ นี่เสี่ยงมากๆ เลยครับ

แล้วอะไรที่ทำให้ S&P 500 ขยับได้แรงๆ ล่ะ? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตัวใหญ่ๆ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon ยังคงมีอิทธิพลสูงมากต่อตลาดโดยรวม รวมถึง S&P 500 ด้วยครับ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ AI (Artificial Intelligence ปัญญาประดิษฐ์) นี่แหละ เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ดัชนีนี้ขยับขึ้นได้พอสมควรเลยในปีนี้ แต่การที่ดัชนีไปพึ่งพาหุ้นไม่กี่ตัวมากเกินไป มันก็เหมือนกับการเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่เราต้องระวัง
นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ปัจจัยด้านนโยบายก็สำคัญไม่แพ้กันครับ อย่างมาตรการภาษีใหม่ๆ (โดยเฉพาะตอนสมัยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยมีประเด็นนี้แรงๆ) สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นอย่างมาก ทำให้ดัชนีหลักๆ ร่วงแรงในเวลาสั้นๆ ได้เลย มันเพิ่มความกังวลเรื่อง “สงครามการค้า” เข้าไปอีก ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าแบบนี้แหละครับที่เป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อตลาด ทำให้เกิดความผันผวนและอาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดได้
ทีนี้มาดูเรื่องใหญ่ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตากันดีกว่า นั่นก็คือเรื่องของ “เฟด” หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Fed หรือ Federal Reserve) นั่นเองครับ เฟดนี่แหละคือคนคุมนโยบายการเงินของอเมริกา มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะขึ้นหรือลด “อัตราดอกเบี้ย” (Interest Rate) ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินและกำลังซื้อทั่วระบบเศรษฐกิจเลย การตัดสินใจของเฟดมักจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ครับ
ข่าวดีในช่วงที่ผ่านมาก็คือ ตัวเลข “เงินเฟ้อ” หรือราคาข้าวของทั่วไปที่เพิ่มขึ้นเนี่ย มันเริ่มชะลอตัวลงแล้วครับ อย่างตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภค หรือ CPI (Consumer Price Index) ในเดือนมีนาคม [2023] เนี่ย เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2021 เลยนะ ที่น่าสนใจคือราคาอาหารตามร้านค้าปลีกก็เริ่มลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่กันยายนปี 2020 ด้วย! นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ครับ
นอกจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวแล้ว ตลาดแรงงานที่เคยร้อนแรงมากๆ ก็เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายลงบ้างแล้วครับ อย่างข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับคนขอรับสวัสดิการว่างงาน ก็เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี นี่เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่เฟดใช้พิจารณาว่าแรงกดดันด้านค่าจ้างอาจจะเริ่มลดลง ซึ่งทั้งหมดนี้แหละครับ เป็นปัจจัยที่ทำให้หลายคนลุ้นว่าเฟดอาจจะใกล้สิ้นสุดวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หรืออาจจะเริ่มมองหาจังหวะที่จะคงดอกเบี้ยไว้ก่อน

แต่ก็ยังมีอีกมุมที่เราต้องดูนะ แม้เงินเฟ้อผู้บริโภคจะชะลอ แต่ตัวเลข “ราคาผู้ผลิต” (Producer Prices) ซึ่งก็คือต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเนี่ย กลับเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคม [ข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนจากเดือนมีนาคม CPI แต่ในข้อมูลบอกเดือนมกราคม PPI] อันนี้ก็เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่าแรงกดดันด้านต้นทุนยังคงอยู่ และอาจส่งผ่านไปเป็นราคาผู้บริโภคได้อีกในอนาคต เพราะงั้นเรื่องเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ 100% ครับ
แล้วอนาคตล่ะจะเป็นยังไง? บางสถาบันการเงินอย่าง Wells Fargo (เวลส์ ฟาร์โก) ก็มีการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้สองครั้งในปี 2025 เลยนะ โดยพิจารณาจากผลกระทบของมาตรการภาษีบางอย่างที่อาจมีต่อเงินเฟ้อในระยะยาว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายของเฟดในอนาคตอย่างใกล้ชิด และมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา
นอกเหนือจากเรื่องเฟดและตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว ยังมี “ความเสี่ยงและปัจจัยอื่นๆ” ที่เราต้องพิจารณาด้วยครับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF หรือ International Monetary Fund) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” (Recession) และปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกด้วย มุมมองเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง
แม้แต่บริษัทใหญ่ๆ ก็ยังเห็นความท้าทายนะ อย่างผู้บริหาร Amazon (อเมซอน) ก็เคยออกมาเตือนถึง “ปัจจัยลบระยะสั้น” ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจคลาวด์ (AWS หรือ Amazon Web Services) ของพวกเขา ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กเองก็ยังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อและตลาดแรงงานเป็นหลัก นี่สะท้อนว่าต้นทุนและปัญหาการหาคนงานยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในภาคธุรกิจจริง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องแย่ๆ นะครับ ก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้เห็นบ้าง อย่างมหาเศรษฐีนักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ก็ยังแสดงความเชื่อมั่นในระบบธนาคารของสหรัฐฯ ออกมายืนยันหนักแน่นว่า “ไม่มีใครจะเสียเงินฝากในธนาคารสหรัฐฯ” นอกจากนี้ ข้อมูลในภาคอสังหาริมทรัพย์บางส่วนก็เริ่มบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงอาจจะกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว และอาจจะเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวได้
จะเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะ S&P 500 ตอนนี้มันเหมือนยืนอยู่บนทางแยกเลยครับ มีทั้งข่าวดีจากเงินเฟ้อที่ชะลอลง ตลาดแรงงานที่เริ่มผ่อนคลาย ทำให้มีความหวังว่าเฟดอาจจะไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ อีกแล้ว หรืออาจจะถึงขั้นลดดอกเบี้ยในอนาคต
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องให้กังวล ทั้งจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษี ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่ IMF เตือน แรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งต้นทุนที่ยังอยู่ และเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจภาพรวมนี้ครับ S&P 500 มันเป็นแค่ตัวเลขที่สะท้อนภาพความซับซ้อนทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก การที่เราเห็นตัวเลขขึ้นลงแรงๆ ไม่ได้หมายความว่าต้องตื่นตระหนกเสมอไปครับ
สิ่งที่เราทำได้คือ:
1. ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน: ติดตามข่าวสาร ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน นโยบายเฟด และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ทำความเข้าใจว่าแต่ละเรื่องส่งผลต่อตลาดอย่างไร
2. ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง: เรายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน? เรากำลังจะใช้เงินนี้ในระยะเวลาอันใกล้หรือเปล่า?
3. พิจารณากลยุทธ์การลงทุน: ในช่วงที่ตลาดยังผันผวน การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value stocks) ที่เน้นหุ้นของบริษัทที่ดีในราคาที่เหมาะสม ก็เป็นอีกทางเลือกที่หลายคนมองว่าจะช่วยลดความเสี่ยงได้ หรือการลงทุนแบบ Passive (ซื้อกองทุนที่อิงดัชนี S&P 500 แล้วถือยาวๆ) ก็ยังเป็นกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ แม้ระยะสั้นจะผันผวนก็ตาม
4. อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับความผันผวนระยะสั้น: ตลาดหุ้นมันมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติครับ สิ่งสำคัญคือมุมมองระยะยาว
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาผ่านดัชนี S&P 500 หรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก ยังคงต้องอาศัยความเข้าใจและความระมัดระวังครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้เสมอ หากเงินทุนหมุนเวียนไม่สูง (สภาพคล่องต่ำ) ควรประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนในจังหวะที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ การคาดการณ์ตลาดในอนาคตเป็นเรื่องที่เสี่ยง และไม่มีใครสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ 100%