SET100: เข็มทิศหุ้นไทย ชี้อนาคตเศรษฐกิจ?

เคยไหมครับ? เปิดดูข่าวเศรษฐกิจทีไร เห็นตัวเลขวิ่งขึ้นวิ่งลงเต็มไปหมดเลย โดยเฉพาะ “ดัชนี SET” หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “ดัชนีตลาดหุ้นไทย” แต่รู้ไหมครับว่านอกจากดัชนี SET แล้ว ยังมีอีกตัวที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “ดัชนี SET100” เหมือนเราดูเกรดเฉลี่ยทั้งโรงเรียน (อันนั้นอาจจะเปรียบเป็น SET) ส่วน ดัชนี SET100 นี่ก็เหมือนการดูเกรดเฉลี่ยของ “เด็กท็อป 100 คน” ที่เก่งๆ ของโรงเรียนนั้นเลยครับ… อะไรประมาณนั้นแหละ ที่สะท้อนภาพรวมอะไรบางอย่างของตลาดได้ดีมากๆ

อธิบายง่ายๆ นะครับ ดัชนี SET100 ก็คือ ดัชนีที่รวมเอาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง 100 อันดับแรกใน ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยมาคำนวณรวมกันครับ พูดอีกแบบคือคัดเอาหัวกะทิ 100 ตัวแรกมาดูกันนั่นแหละ โดยใน 100 ตัวนี้ ก็จะรวมเอาหุ้น 50 อันดับแรกที่เป็นองค์ประกอบของ ดัชนี SET50 ซึ่งเป็นพี่ใหญ่กว่าเข้าไปด้วย เท่ากับว่าใครอยู่ใน SET50 ก็จะได้อยู่ใน SET100 ด้วยโดยอัตโนมัติครับ ดัชนีตัวนี้ไม่ใช่เพิ่งมีนะครับ เค้าเริ่มเผยแพร่ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2548 โดยกำหนดค่าเริ่มต้นไว้ที่ 1000 จุดเลย

วัตถุประสงค์หลักๆ ของ ดัชนี SET100 ก็เพื่อใช้เป็น “ตัวชี้วัด” หรือ “เกณฑ์มาตรฐาน” (Benchmark) ให้นักลงทุนได้เห็นภาพรวมของหุ้นกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ในบ้านเรา ว่าภาพรวมแล้วกลุ่มนี้เป็นยังไง ขึ้นหรือลง… นอกจากนี้ เค้าก็ตั้งใจให้ ดัชนี SET100 เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ในอนาคตด้วยครับ

การคำนวณ ดัชนี SET100 เค้าก็ใช้หลักการเดียวกับ ดัชนี SET และ ดัชนี SET50 นั่นแหละครับ คือแบบ “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ Market Capitalization Weighted Index… หมายความว่าหุ้นตัวไหนที่มูลค่าตลาดใหญ่มาก ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่านั่นเอง ลองนึกภาพนะครับ ถ้าบริษัท ปตท. (PTT) ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่มากๆ ใน ดัชนี SET100 ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ ดัชนี SET100 ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ต่างจากหุ้นเล็กๆ ในดัชนีที่ถ้าขึ้นหรือลง ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดัชนีรวมมากเท่าครับ หลักทรัพย์ ที่จะถูกนำมาคำนวณใน ดัชนี SET100 นี้ก็คัดมาจาก หลักทรัพย์ ทั้งหมดที่จดทะเบียนอยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ เลยครับ

แล้วบริษัทไหนล่ะที่จะได้เข้ามาอยู่ในลิสต์ของ ดัชนี SET100? เค้าก็จะมีเกณฑ์คัดเลือกครับ หลักๆ ก็ดูที่ “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization) ว่าใหญ่แค่ไหน ดูที่ “สภาพคล่อง” หรือปริมาณการซื้อขายว่ามีการซื้อขายหมุนเวียนเยอะแค่ไหน และก็ดูเรื่องการกระจายหุ้นให้ “ผู้ถือหุ้นรายย่อย” (Free Float) ด้วยครับ พูดง่ายๆ คือต้องเป็นบริษัทที่ใหญ่จริง ซื้อขายง่าย มีหุ้นที่คนทั่วไปถืออยู่เยอะพอสมควร ถึงจะผ่านเกณฑ์เข้ามาได้

ที่สำคัญคือ รายชื่อหุ้นใน ดัชนี SET100 ไม่ได้นิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดนะครับ เค้ามีการ “ทบทวนรายชื่อ” กันทุกๆ 6 เดือนเลย ช่วงเดือนธันวาคมกับเดือนมิถุนายนของทุกปี… เหมือนเป็นการอัปเดตรายชื่อเด็กท็อปน่ะครับ ใครที่ฟอร์มดีขึ้นตามเกณฑ์ก็อาจจะได้เข้า ใครที่ฟอร์มแผ่วลงก็อาจจะหลุดไป… รายชื่อใหม่ที่ปรับปรุงก็จะเริ่มมีผลใช้จริงในวันทำการแรกของเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคมนั่นเอง… กระบวนการทบทวนนี้ก็เพื่อให้ ดัชนี SET100 สะท้อนภาพของ 100 บริษัทชั้นนำใน ตลาดหลักทรัพย์ ได้ทันสมัยอยู่เสมอครับ ถ้ามีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาจดทะเบียนแล้วใหญ่พอ มีสภาพคล่องดี ก็มีสิทธิ์ถูกพิจารณาให้เข้ามาแทนที่ตัวที่หลุดไปครับ รวมถึงถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ของบริษัท เช่น การเพิ่มทุน การใช้สิทธิแปลงสภาพ หลักทรัพย์ หรือการใช้สิทธิวอร์แรนต์ ที่ทำให้มูลค่า หลักทรัพย์ เปลี่ยนไป เค้าก็อาจมีการปรับค่าฐานการคำนวณ ดัชนี เพื่อให้ ดัชนี มีความต่อเนื่อง ไม่กระโดดไปมาเพราะเหตุการณ์พวกนี้ครับ

ทีนี้ลองมาดูภาพรวมของ ดัชนี SET100 ล่าสุดกันหน่อยครับ (อ้างอิงข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 03:04:52 น. จากแหล่งข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย)… วันนั้น ดัชนี SET100 ปิดตลาดไปที่ 1,780.63 จุด ปรับลดลงจากวันก่อนหน้า -19.52 จุด คิดเป็น -1.08%… ตัวเลขสำคัญๆ ในวันนั้นก็มีราคาเปิดที่ 1,803.97 จุด ขึ้นไปสูงสุดระหว่างวันที่ 1,805.57 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,776.80 จุด… ส่วนปริมาณการซื้อขายรวมก็อยู่ที่ 2,200,184,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 45,234.63 ล้านบาท… นี่ก็เป็นแค่ภาพ snapshot ของวันหนึ่งนะครับ ตลาดหุ้นน่ะก็เหมือนชีวิต มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ

ถามว่าใน ดัชนี SET100 นี่มีหุ้นบริษัทไหนอยู่บ้าง? โอ้โห… ก็มีบริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีนี่แหละครับ เช่น พวกพลังงาน (อย่าง ปตท. หรือ ปตท.สผ.), โทรคมนาคม (อย่าง AIS หรือ True), กลุ่มธนาคารใหญ่ๆ (อย่าง SCB, KBANK, BBL, KTB, TTB) หรือพวกค้าปลีก ห้างร้านต่างๆ (อย่าง CPALL, CRC, HMPRO, BJC) ไปจนถึงโรงพยาบาล (BDMS, BH) หรือสนามบิน (AOT) และอีกมากมายหลายอุตสาหกรรมเลยครับ (ตามรายชื่อตัวอย่างที่ข้อมูลให้มา เช่น PTT, DELTA, ADVANC, AOT, CPALL, TRUE, PTTEP, SCB, BDMS, KBANK, KTB, BBL, CPN, CPF, SCC, TTB, OR, CRC, TLI, MINT, BH, KTC, HMPRO, IVL, BJC, MTC, BEM, GPSC, PTTGC, TISCO, BTS, AWC, CBG, SCGP, RATCH, CCET, TOP, LH, EGCO, BCP, TU, SAWAD เป็นต้น)… บริษัทพวกนี้แหละครับ ถือเป็นเหมือน “หัวเรือใหญ่” ของเศรษฐกิจบ้านเราเลยก็ว่าได้…

พอพูดถึงเศรษฐกิจ ก็อดนึกถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ได้เนอะ… เคยมีช่วงนึง (อ้างอิงตามข้อมูล) ธนาคารโลก (World Bank) เคยชื่นชมว่าไทยเรานี่พัฒนาเศรษฐกิจได้ดีเลยนะ แต่หลังจากปี 2557 มาเนี่ย การเติบโตของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเราก็ดูจะชะลอลงมาอยู่ที่ประมาณ 3% หรือต่ำกว่า ซึ่งก็ถือว่าโตช้ากว่าบางประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน… แน่นอนว่า ดัชนี SET100 ที่รวมเอาบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ไว้ ก็ย่อมเป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพเศรษฐกิจโดยรวมของบ้านเราได้ระดับหนึ่งแหละครับ

สำหรับนักลงทุนที่อยากจะลงทุนตามภาพรวมของ ดัชนี SET100 เลย แต่ไม่อยากไปไล่ซื้อหุ้นทีละตัวๆ ครบทั้ง 100 ตัว เค้าก็มีเครื่องมือ การลงทุน ที่เรียกว่า “กองทุนรวมอีทีเอฟ” (ETF) ที่ชื่อว่า ThaiDEX SET100 ETF ด้วยนะครับ… เจ้าตัวนี้ก็ออกแบบมาให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ ดัชนี SET100 เลย เหมือนเราซื้อ “ตะกร้า” ที่ข้างในมีหุ้นทั้ง 100 ตัวนี้รวมอยู่แล้ว ซื้อขายได้สะดวกใน ตลาดหลักทรัพย์ เลยครับ

แล้วทำไม ดัชนี SET100 ถึงสำคัญกับนักลงทุนล่ะ? ก็เพราะมันเป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” หรือ Benchmark ชั้นดีเลยไงครับ… เวลาที่เรา การลงทุน ในหุ้นกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ หรือลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นหุ้นใหญ่ เราก็สามารถเอาผลตอบแทนของเราไปเทียบกับผลตอบแทนของ ดัชนี SET100 ได้ ว่าเราทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่าดัชนี… มันช่วยให้เราเห็นภาพรวมและประเมินผล การลงทุน ของเราได้ง่ายขึ้น เหมือนมีเพื่อนบ้านให้เปรียบเทียบผลการเรียนนั่นแหละครับ

ข้อมูลที่เราคุยกันวันนี้ก็อ้างอิงมาจากข้อมูลทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย และบทวิเคราะห์ต่างๆ นะครับ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ทุกคนเข้าถึงได้… แต่อย่าลืมนะครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ตลาดหุ้นมันมีขึ้นมีลงเสมอ ไม่ได้มีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว… เหมือนที่เราเห็น ดัชนี SET100 วันที่ 15 ก.พ. 2568 ที่ปรับลดลงนั่นแหละครับ…

สรุปส่งท้ายง่ายๆ นะครับ ดัชนี SET100 ก็เหมือนเข็มทิศตัวใหญ่ที่ชี้ทิศทางภาพรวมของบริษัทชั้นนำใน ตลาดหลักทรัพย์ ไทย เป็นตัวสะท้อนสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ และมีส่วนสะท้อนภาพ เศรษฐกิจไทย บ้านเราได้ด้วย… การที่เราเข้าใจว่า ดัชนี SET100 คืออะไร คำนวณยังไง มีหุ้นกลุ่มไหนอยู่บ้าง และเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน ก็จะช่วยให้เรามองภาพ การลงทุน ในหุ้นใหญ่ๆ ได้ชัดเจนขึ้น และนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ครับ เช่น การดู อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) หรือ อัตราเงินปันผลตอบแทน ของ หลักทรัพย์ ต่างๆ ใน ดัชนี ก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจ

แต่จำไว้เสมอนะครับว่า การดูแค่ตัวเลข ดัชนี SET100 ขึ้นหรือลงในวันเดียวอาจจะไม่พอ… มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด… ก่อนจะตัดสินใจ การลงทุน อะไรก็ตาม **โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะสินทรัพย์ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวังเสมอ** เหมือนสุภาษิตที่ว่า “ไม่เห็นน้ำ อย่าเพิ่งตัดเสื้อ” นั่นแหละครับ อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ… **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน** โดยเฉพาะถ้าเงินลงทุนก้อนนั้นสำคัญมากๆ กับเรา หรือ สภาพคล่อง เราไม่สูง ก็ยิ่งต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนนะครับ! ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จกับการ การลงทุน ครับ!

Leave a Reply