
เวลาพูดถึงตลาดหุ้นไทย ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ “SET Index” ใช่ไหมครับ มันเหมือนสกอร์บอร์ดใหญ่ที่บอกภาพรวมของตลาดทั้งกระดาน แต่ถ้าจะมองภาพเฉพาะ “ดาวเด่น” หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในตลาด เราก็ต้องรู้จักดัชนีอีกตัวครับ นั่นคือ ดัชนี SET100
ดัชนี SET100 นี้เป็นเหมือน “ทีมรวมดาว” ที่คัดเอาบริษัทจดทะเบียน 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (อยู่ที่กรุงเทพฯ นี่แหละครับ) ที่มีขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมีการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์มาเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นไทยในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ครับ ทำไมต้องมี SET100? หลักๆ ก็เพื่อใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานให้นักลงทุนได้ใช้อ้างอิง และยังเป็นดัชนีสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ อย่างสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วยครับ (ดัชนี SET100 ก็คือ 100 อันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่ารวม 50 อันดับแรกของ SET50 เข้าไปด้วยนะครับ)
วิธีการคำนวณค่า ดัชนี SET100 ก็ใช้หลักการเดียวกับ SET Index ทั่วไปครับ คือคำนวณแบบถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighted Index) หมายความว่า บริษัทไหนใหญ่มาก มูลค่าตลาดสูงมาก การขึ้นลงของราคาหุ้นบริษัทนั้นๆ ก็จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีนี้มากหน่อยครับ
ลองมาดูสถานการณ์ล่าสุดของ ดัชนี SET100 กันหน่อยครับ (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 17:00 น. ตามเวลาประเทศไทยนะครับ)
ปิดตลาดวันนั้น SET100 ปิดที่ 1,596.72 จุด ครับ เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ถือว่าปรับเพิ่มขึ้นมา 19.04 จุด หรือคิดเป็นบวก 1.21% ครับ วันนั้นดัชนีมีการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,585.5 จุด ไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 1,600.72 จุด โดยเปิดตลาดมาที่ 1,590.66 จุด ขณะที่ราคาปิดของวันก่อนหน้านั้นอยู่ที่ 1,577.68 จุด… เหมือนเป็นรายงานผลการแข่งขันรายวันนั่นแหละครับ ตัวเลขปริมาณการซื้อขายในกลุ่ม 100 หุ้นนี้รวมๆ แล้วก็ประมาณ 1.78 พันล้านหุ้น ก็ถือว่ามีการซื้อขายที่คึกคักพอสมควรในวันนั้นครับ

พูดถึงประวัติย้อนหลังหน่อย ดัชนี SET100 นี้เขามีการกำหนดวันฐานขึ้นมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2548 (ค.ศ. 2005) โดยตั้งค่าเริ่มต้นไว้ที่ 1000 จุดครับ แล้วค่อยๆ ปรับขึ้นลงตามผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัทในดัชนีมาเรื่อยๆ ครับ
รายชื่อ 100 บริษัทใน ดัชนี SET100 ไม่ได้คงที่ถาวรนะครับ เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการทบทวนและปรับปรุงรายชื่อหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีทุกๆ หกเดือนครับ คือช่วงปลายปี (วันที่ 1-31 ธันวาคม) และช่วงกลางปี (วันที่ 1-30 มิถุนายน) เพื่อให้แน่ใจว่า 100 บริษัทที่อยู่ในดัชนียังคงเป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่จริงๆ รายชื่อใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันซื้อขายแรกของเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคมของทุกปีครับ นอกจากนี้ ถ้าบริษัทในดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ เช่น มีการเพิ่มทุน การแปลงสภาพหุ้น หรือใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ ก็อาจมีการปรับค่าดัชนีระหว่างทางได้ด้วยครับ
ทีนี้ลองมามองภาพระยะยาวขึ้นอีกนิดครับ ลองดู “ผลตอบแทนย้อนหลัง” ของ ดัชนี SET100 ในช่วงเวลาต่างๆ กันดู (ข้อมูล ณ วันที่ 25/04/2025 เช่นกันครับ):
* ย้อนหลัง 1 เดือน: -2.07%
* ย้อนหลัง 3 เดือน: -15.99%
* ย้อนหลัง 6 เดือน: -21.53%
* ย้อนหลัง 1 ปี: -13.80%

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเราบ้างครับ? มันบอกว่า แม้ในวันล่าสุด ดัชนี SET100 จะบวกขึ้นมาได้ แต่เมื่อมองย้อนหลังไปในระยะ 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน หรือแม้กระทั่ง 1 ปี ภาพรวมของกลุ่มหุ้นใหญ่ในดัชนีนี้ “ยังคงอยู่ในช่วงขาลง” หรือ “กำลังพักฐาน” ที่ค่อนข้างชัดเจนครับ แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ยังคงเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันอยู่ครับ ช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา SET100 เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบกว้างๆ ตั้งแต่จุดต่ำสุด 1,439.14 จุด ไปจนถึงจุดสูงสุด 2,096.93 จุด เลยทีเดียวครับ
ดังนั้น ถ้าเราเห็นข่าว SET100 บวกแรงๆ ในวันเดียว ก็อย่าเพิ่งคิดว่าตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัวนะครับ ควรดูภาพรวม แนวโน้มระยะยาว และปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ การเคลื่อนไหวของ ดัชนี SET100 มักจะสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันที่มีต่อบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยได้ดีครับ
คำแนะนำทิ้งท้ายสไตล์เพื่อนสู่เพื่อน:
การที่ ดัชนี SET100 ยังคงมีผลตอบแทนย้อนหลังติดลบในระยะกลางถึงยาวแบบนี้ บอกให้รู้ว่าตลาดยังอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังครับ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงเสมอ เงินลงทุนอาจไม่ได้รับคืนเต็มจำนวน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนหรืออยู่ในแนวโน้มขาลง ข้อมูลที่เรานำมาให้ดูนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ภาพรวมเท่านั้นครับ
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่สนใจหุ้นขนาดใหญ่ หรือกองทุนที่อ้างอิง ดัชนี SET100 สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลบริษัทที่คุณสนใจอย่างละเอียด ทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจเหล่านั้น ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะนำมาพักไว้ในระยะยาวได้ครับ อย่าใช้เงินที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคตอันใกล้มาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้นะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีและประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!