NAS100 คืออะไร? เจาะลึกหุ้นเทคฯดัง ทำกำไรปัง! หรือพัง?

เคยได้ยินชื่อ Apple, Amazon, Google, Microsoft ไหมครับ? หรือพวกหุ้นเทคฯ ชื่อดังระดับโลกที่เปลี่ยนวิถีชีวิตเราไปมากมาย แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นเคยดี บริษัทเหล่านี้คือหัวหอกสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครับ และเวลาพูดถึงหุ้นกลุ่มนวัตกรรม หลายคนมักจะนึกถึงดัชนีสำคัญตัวหนึ่ง นั่นก็คือ nas100 คือ ตัวแทนของบริษัทเหล่านี้แหละครับ แล้วเจ้า nas100 คือ อะไรกันแน่? ทำไมมันถึงน่าจับตามอง และเหมาะกับเราหรือเปล่า? วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนครับ

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ถ้าเรามีตะกร้าใบหนึ่ง แล้วเราก็เลือก ‘ผลไม้ที่ดีที่สุด’ ในตลาดหุ้น Nasdaq มาใส่ไว้ 100 ลูก (จริงๆ ตอนนี้มี 102 ลูก แต่เขาเรียกตามเกณฑ์เดิมว่า Nasdaq 100) ผลไม้พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นวัตกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ซอฟต์แวร์ (Software) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) อินเทอร์เน็ต (Internet) และโทรคมนาคม (Telecommunications) ไม่ใช่บริษัทการเงินนะครับ เพราะกลุ่มการเงินจะมีดัชนีอื่นดูแลไป อย่างที่เรารู้จักกันดีก็ Apple, Amazon, Microsoft, Tesla, Nvidia, Google (Alphabet) หรือแม้แต่ Netflix พวกนี้อยู่ในตะกร้านี้หมดเลยครับ

การจะเข้าตะกร้านี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านเกณฑ์คัดเลือกที่ค่อนข้างเข้มงวด เช่น ต้องมีการซื้อขายสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องพอสมควร ไม่ใช่บริษัทที่กำลังจะล้มละลาย และต้องเป็นบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ มีการปรับสัดส่วนอยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยทุกไตรมาส เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงๆ จะไม่เข้าไปครอบงำดัชนีมากเกินไป และมีการทบทวนรายชื่อประจำปีด้วยครับ การถ่วงน้ำหนักแบบปรับปรุงนี้ทำให้ nas100 สามารถสะท้อนภาพรวมของ ‘หัวหอก’ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของอเมริกาได้อย่างเหมาะสมจริงๆ

พอเห็นภาพแล้วว่า nas100 คือ ตัวแทนบริษัทสุดเจ๋งและใหญ่โตในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมขนาดนี้ แล้วเราในฐานะนักลงทุนหรือคนที่สนใจล่ะ จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันได้ยังไง? วิธีที่นิยมก็คือการ ‘เก็งกำไร’ การเคลื่อนไหวของราคาดัชนี หรือ ‘ลงทุน’ เพื่อรับผลตอบแทนตามการเติบโตของมันครับ เครื่องมือยอดฮิตก็มีหลายแบบ เช่น สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ CFD (Contract for Difference) ซึ่งเป็นการเทรดที่อิงกับการเปลี่ยนแปลงของราคา หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และ กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี nas100 โดยตรง

ในประเทศไทยเองก็มีกองทุนรวมที่ไปลงทุนตามดัชนีนี้อยู่เหมือนกันนะครับ อย่างของ FINNOMENA หรือ KKP ก็มีให้เลือก ถ้าใครอยากถือยาวๆ แบบไม่ต้องเทรดเอง การลงทุนใน nas100 ผ่านกองทุนพวกนี้ก็เป็นทางเลือกที่สะดวกดีครับ ข้อดีคือเราได้กระจายความเสี่ยงไปในบริษัทใหญ่ๆ หลายตัวทีเดียว แทนที่จะเลือกหุ้นเป็นรายตัว และยังได้สัมผัสกับการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวครับ

ทีนี้มาดูประวัติกันหน่อย ตะกร้าใบนี้มีมาตั้งแต่ปี 1985 แล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะพอสมควรครับ ลองย้อนไปดูวิกฤติ Dotcom ในปี 2000 ตอนนั้นหุ้นเทคฯ บูมจัดๆ ดัชนี nas100 พุ่งไปสูงกว่า 4,700 จุด ก่อนจะเจอพิษฟองสบู่แตก ร่วงลงมาแรงกว่า 83% เลยทีเดียว เรียกว่าใครเข้าผิดจังหวะนี่เจ็บหนักครับ ปี 2008 ตอนวิกฤติการเงินโลก ดัชนีก็ร่วงลงไปอีกครั้ง ไปอยู่แถวๆ 1,000 จุด

แต่ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา nas100 ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการฟื้นตัว โดยมีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งมากๆ ครับ แม้จะมีช่วงที่ปรับฐานลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วเติบโตอย่างก้าวกระโดด ถ้าดูตัวเลขย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% เลยนะครับ! บางปีอย่างปี 2020 ที่โลกเผชิญโควิด แต่หุ้นเทคกลับพุ่งแรงถึง 43% ก็มี หรือ 5 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนไปกว่า 200% แล้ว ตัวเลขพวกนี้บอกเราว่า nas100 มีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวจริงๆ สะท้อนถึงพลังของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่จากประวัติในอดีต เราก็เห็นชัดเจนว่าดัชนีนี้มีความผันผวนที่ค่อนข้างมากเช่นกัน ขึ้นได้แรงก็ลงได้แรงครับ

แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ราคา nas100 ขึ้นลงเป็นกราฟคลื่นแบบนี้ล่ะ? เหมือนเวลาเราปลูกต้นไม้ ผลไม้ในตะกร้าของเราก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างครับ หลักๆ เลยก็คือ ‘ผลประกอบการ’ และ ‘ข่าวสาร’ ของบริษัทใหญ่ๆ ในดัชนีนั่นแหละครับ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia ซึ่งมีน้ำหนักในดัชนีสูงมาก ถ้าบริษัทเหล่านี้ประกาศผลประกอบการดีกว่าคาด หรือมีข่าวดีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ราคาหุ้นพวกนี้ขึ้น ดัชนี nas100 ก็มักจะขึ้นตามครับ

นอกจากนี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคก็สำคัญไม่แพ้กันครับ ลองนึกภาพ ถ้าเศรษฐกิจดี ภาพรวมแข็งแรง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น มีกำลังซื้อเยอะ ก็อยากได้ Gadget ใหม่ๆ อยากใช้บริการ Cloud อยากดู Netflix อยากเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้า หุ้นกลุ่มนี้ที่อยู่ใน nas100 ก็ดีตามครับ แต่ถ้าเจอภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือหนักไปกว่านั้นคือ เงินเฟ้อสูงๆ จนธนาคารกลางต้อง ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้หุ้นเทคฯ สะดุดได้ง่าย เพราะต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทสูงขึ้น การขยายธุรกิจก็ทำได้ยากขึ้น แถมคนก็อาจจะลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นลง อย่างซื้อไอโฟนเครื่องใหม่ หรือสมัครบริการสตรีมมิ่งเพิ่มเพื่อเก็บเงินไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นที่จำเป็นกว่า ดัชนี nas100 จึงอ่อนไหวมากกับภาวะเศรษฐกิจ การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวมครับ สำหรับการซื้อขายระยะสั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคตามรูปแบบกราฟราคา หรือพฤติกรรมของเทรดเดอร์จำนวนมากก็ส่งผลกระทบต่อราคาได้โดยตรงเช่นกัน

สรุปแล้ว nas100 คือ ดัชนีที่น่าจับตามองมากๆ ครับ มันเป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก และมีประวัติผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาว มีบริษัทชั้นนำที่เราคุ้นเคยอยู่ในนั้นมากมาย ซึ่งการลงทุนใน nas100 ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้เราได้กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนอนาคตเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

แต่สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ ‘ความผันผวน’ ครับ ดัชนีนี้สามารถขึ้นลงได้แรงและเร็วมาก โดยเฉพาะถ้าเทรดผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราทด (Leverage) อย่าง CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) หรือแม้แต่การลงทุนระยะยาวเองก็มีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

⚠️ ดังนั้น ก่อนจะกระโดดเข้าไปลงทุนหรือเก็งกำไรใน nas100 ไม่ว่าจะผ่าน CFD หรือเครื่องมืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มในประเทศหรือระหว่างประเทศอย่าง Moneta Markets ที่มีเครื่องมือและเงื่อนไขหลากหลายให้เลือกใช้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้อง ‘ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้’ ทั้งตัวดัชนี วิธีการทำงานของเครื่องมือที่เราจะใช้ และ ‘ความเสี่ยง’ ที่เกี่ยวข้องครับ บริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี กำหนดจุดเข้าจุดออกที่ชัดเจน และลงทุนด้วยเงินที่เราพร้อมจะสูญเสียได้เท่านั้นนะครับ อย่าให้ความหวังกับผลตอบแทนสูงๆ ในอดีต มาบังตา จนลืมเรื่องความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้าไป การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

Leave a Reply