คิดว่าการลงทุนในหุ้นมันเหมือนกับการทำอาหารสูตรพิเศษไหมครับ? สมมติว่าคุณมี “สูตรดัชนี” ที่เป็นตัวกำหนดว่าต้องใส่ “วัตถุดิบหุ้น” ชนิดไหน ปริมาณเท่าไหร่ เพื่อให้ได้รสชาติ (ผลตอบแทน) ตามที่ต้องการ สูตรนี้ไม่ได้นิ่งนะครับ มีคนคอยอัปเดตอยู่เรื่อยๆ และการอัปเดตแต่ละครั้งนี่แหละที่ทำให้ “ตลาด” ปั่นป่วนได้นิดหน่อย ซึ่งเรื่องที่เราจะคุยวันนี้ก็คือการอัปเดตสูตรใหญ่จากกัปตันเชฟระดับโลกที่ชื่อว่า MSCI หรือที่นักลงทุนเขาเรียกกันว่า “MSCI rebalance” (MSCI รีบาลานซ์) นั่นเองครับ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ MSCI บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลามีข่าวหุ้นขึ้นลงแรงๆ ในช่วงปลายเดือน นั่นแหละครับ มักจะเกี่ยวกับการ “ปรับสมดุล” ของดัชนี MSCI นี่แหละ แล้ว MSCI คือใคร? เขาทำอะไร ทำไมถึงมีอิทธิพลกับการลงทุนขนาดนี้?

MSCI (เอ็มเอสซีไอ) เนี่ย ลองนึกภาพว่าเป็นกรรมการใหญ่ที่คอยจัดอันดับและรวบรวม “ทีมหุ้น” ของประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเป็น “ลีกดัชนี” (Index League) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกครับ ดัชนีที่เขาจัดทำขึ้นมาเนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ แต่เป็น “พิมพ์เขียว” หรือ “เกณฑ์มาตรฐาน” (Benchmark) ที่กองทุนรวมขนาดใหญ่ นักลงทุนสถาบัน หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากใช้เป็นแนวทางในการลงทุน โดยเฉพาะกองทุนประเภทที่เรียกว่า Passive Fund (แพสซีฟ ฟันด์) คือกองทุนที่ไม่ได้เน้นเลือกหุ้นรายตัวเอง แต่เน้นลงทุนตามองค์ประกอบและน้ำหนักของดัชนีเป๊ะๆ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด
ทีนี้การที่ MSCI เขามา “ทบทวนและปรับสมดุล” (MSCI rebalance) ดัชนีของเขา มันก็เหมือนการที่กรรมการใหญ่เขามานั่งพิจารณาใหม่ทุกๆ ไตรมาสว่าทีมไหนฟอร์มดีขึ้น ควรเพิ่มนักเตะ (หุ้น) เข้ามาไหม? ทีมไหนฟอร์มตก ต้องเอาออกหรือลดบทบาทลง? หรือแค่น้ำหนักของนักเตะในทีม (สัดส่วนการลงทุน) เปลี่ยนไปตามมูลค่าตลาด? กระบวนการนี้ทำเป็นประจำครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และตั้งแต่ปี ๒๕๖๖ (2023) เขาก็เริ่มใช้เกณฑ์ที่ยืดหยุ่นขึ้นนิดหน่อย เพื่อให้ดัชนีมันสะท้อนภาพตลาดจริงๆ ได้ดีขึ้น

แล้วเขาดูจากอะไรถึงจะเพิ่มเข้า-เอาออก หรือปรับน้ำหนัก? เกณฑ์หลักๆ ที่ MSCI ใช้ก็มีหลายอย่างครับ แต่ที่สำคัญมากๆ ก็คือเรื่อง “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดส่วนที่ซื้อขายได้” หรือ Free Float Market Cap (ฟรีโฟลท มาร์เก็ตแคป) คือดูว่าหุ้นตัวนี้มีปริมาณที่นักลงทุนทั่วไปซื้อขายกันจริงๆ ในตลาดมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่จำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ รวมถึงดูสภาพคล่องในการซื้อขายด้วย ถ้าหุ้นตัวไหนมี Free Float เยอะ มีมูลค่ารวมสูง หรือสภาพคล่องดี ก็มีโอกาสถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนีใหญ่ๆ ได้มากกว่าครับ การปรับสมดุลก็คือการเพิ่มหรือถอดหุ้นออก และการปรับน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวในดัชนีให้เหมาะสมกับเกณฑ์ปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ MSCI จะประกาศให้ทราบล่วงหน้าตามกำหนดการที่ชัดเจนครับ นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนจึงมีเวลาเตรียมตัว
มาดูแนวโน้มล่าสุดกันบ้างครับ โดยเฉพาะใน “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets) อันนี้เป็นไฮไลท์ที่น่าจับตามาก จากข้อมูลและบทวิเคราะห์ของ Northern Trust Asset Management (นอร์เทิร์น ทรัสต์ แอสเซท แมเนจเมนต์) เราเห็นชัดเจนเลยว่าในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี ๒๕๖๗ (2024) “น้ำหนัก” ของประเทศอินเดียในดัชนี MSCI Emerging Markets เนี่ย เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ ๑๘-๒๐% แล้วครับ ในทางกลับกัน “น้ำหนัก” ของประเทศจีนที่เคยเป็นพี่ใหญ่สุดๆ กลับมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ ๒๔-๒๕% ซึ่งก็ถือว่าลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยมีมา แนวโน้มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ไตรมาสเดียว แต่เป็นภาพที่เห็นมาหลายไตรมาสแล้วครับ การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักส่วนใหญ่ในดัชนีสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็น MSCI World (เอ็มเอสซีไอ เวิลด์) หรือ MSCI Emerging Markets ก็มักจะมาจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน Free Float และจำนวนหุ้นที่ MSCI ประเมินใหม่นี่แหละครับ
การทบทวนครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ (2025) ก็มีตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น หุ้นของ Hyundai Motor India (ฮุนได มอเตอร์ อินเดีย) ก็ถูกเพิ่มเข้ามาในดัชนี MSCI Global Standard Index (เอ็มเอสซีไอ โกลบอล สแตนดาร์ด อินเด็กซ์) สำหรับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ขณะที่หุ้นอย่าง Adani Green (อดานี กรีน) กลับถูกถอดออกไป ซึ่งการเพิ่มและถอดหุ้นในดัชนีหลักเหล่านี้มักจะเรียกความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกครับ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มและถอดหุ้นจำนวนมากในดัชนีอื่นๆ ของ MSCI ด้วยครับ เช่น ในดัชนี MSCI ACWI (เอ็มเอสซีไอ เอซีดับเบิลยูไอ) ซึ่งเป็นการรวมตลาดพัฒนาแล้วกับตลาดเกิดใหม่เข้าด้วยกัน มีการเพิ่มเข้ามาใหม่ถึง ๒๓ หลักทรัพย์ แต่ก็มีการถอดออกไปถึง ๑๐๗ หลักทรัพย์เลยทีเดียว ส่วนในดัชนีสำหรับหุ้นขนาดเล็ก หรือ MSCI ACWI Small Cap (เอ็มเอสซีไอ เอซีดับเบิลยูไอ สมอลแคป) ก็มีการเพิ่ม ๑๙๓ หลักทรัพย์ และถอด ๒๙๗ หลักทรัพย์ ในขณะที่ตลาดชายขอบ (Frontier Markets) ก็มีการเพิ่ม ๑๓ หลักทรัพย์ และถอด ๔ หลักทรัพย์ จะเห็นได้ว่าแต่ละรอบการปรับสมดุล MSCI นั้น มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆ ครับ
สงสัยไหมว่า MSCI เขาตัดสินใจยังไง? มั่วๆ หรือเปล่า? เปล่าเลยครับ เขาบอกว่าดัชนีของเขาทุกตัวเนี่ย บริหารจัดการตาม “วิธีการที่มีกฎเกณฑ์” (Rules-based Methodologies) คือมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เป๊ะๆ ไม่ได้ใช้ความรู้สึก เป้าหมายคือเพื่อให้ดัชนีมันสะท้อนประสิทธิภาพของตลาด หรือความจริงทางเศรษฐกิจให้แม่นยำและเป็นกลางที่สุดเท่าที่จะทำได้ นโยบายพวกนี้มีการเผยแพร่ให้สาธารณะรับทราบด้วยนะครับ มีทั้งเกณฑ์การออกแบบ การทบทวน นโยบายการให้คำปรึกษา และนโยบายการแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ดัชนีส่วนใหญ่สร้างขึ้นจาก “Global Investable Equity Universe” (โกลบอล อินเวสเทเบิล อิควิตี้ ยูนิเวิร์ส) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลหุ้นที่สามารถลงทุนได้ทั่วโลกนั่นเองครับ
มีเกร็ดเล็กๆ ที่น่าสนใจจากการทบทวนครั้งล่าสุดด้วยครับ คือ MSCI เขาระบุว่ายังมีประเด็นเรื่องความยากลำบากในการเข้าถึงตลาดสำหรับหลักทรัพย์บางตัวในประเทศบังกลาเทศ (Bangladesh) อยู่ ทำให้เขายังไม่นำการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องไปปรับใช้ในตอนนี้ ตรงนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจของ MSCI ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขหุ้นอย่างเดียว แต่ดูปัจจัยภาพใหญ่เรื่องสภาพคลุมและความพร้อมของตลาดนั้นๆ ด้วย

แล้วการที่ MSCI ประกาศว่าจะปรับสมดุลเนี่ย มีผลกับตลาดหุ้นยังไงบ้าง? โอ้โห ตรงนี้แหละคือจุดสำคัญที่ทำให้ตลาดคึกคักเลยครับ เพราะเวลาที่องค์ประกอบดัชนีหรือน้ำหนักการลงทุนเปลี่ยน กองทุนประเภทที่เน้นลงทุนตามดัชนีเป๊ะๆ หรือที่เรียกว่า Passive Fund (แพสซีฟ ฟันด์) พวกนี้เขาต้อง “ปรับพอร์ต” ตามทันทีครับ ถ้า MSCI บอกว่าจะเพิ่มหุ้น A เข้ามาในดัชนี กองทุน Passive ที่อิงดัชนีนั้นก็ต้องไปซื้อหุ้น A ถ้าบอกว่าจะลดน้ำหนักหุ้น B ก็ต้องไปขายหุ้น B การซื้อขายล็อตใหญ่ๆ จำนวนมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมีผลนี่แหละครับ ที่ทำให้ราคาหุ้นบางตัวผันผวนได้มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นแรงซื้อแรงขายที่ไม่ได้ดูพื้นฐานหุ้นในระยะสั้น แต่ทำตามคำสั่งปรับดัชนีล้วนๆ
สำหรับผู้จัดการกองทุนที่ไม่ได้เป็น Passive จ๋าๆ แต่ใช้ดัชนีเป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) พวกเขาก็ต้องพิจารณาผลกระทบนี้ เพื่อบริหารจัดการ “Tracking Error” (แทร็กกิ้ง เออร์เรอร์) หรือความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนของกองทุนตัวเองกับดัชนีให้แคบที่สุด ส่วนนักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ การเข้าใจเรื่องนี้ก็ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมหุ้นบางตัวถึงมีวอลุ่มซื้อขายเยอะผิดปกติในบางช่วง หรือทำไมสัดส่วนการลงทุนในประเทศต่างๆ ถึงได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาครับ การที่ MSCI มีการปรับสมดุลเป็นประจำก็เพื่อให้ดัชนียังคงเป็นตัวแทนของตลาดนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสมที่สุดอยู่เสมอ และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนที่ใช้ดัชนีเป็นเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนในภาคส่วนหรือภูมิภาคต่างๆ
สรุปแล้ว “MSCI rebalance” (MSCI รีบาลานซ์) มันก็เหมือนกับการปรับสูตรใหญ่ของกองทุนและนักลงทุนทั่วโลกที่อิงดัชนีเป็นหลักครับ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่เป็นกระบวนการปกติที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและเงินลงทุนจำนวนมหาศาล การที่เราพอจะเข้าใจว่า MSCI เขาทำอะไร มีเกณฑ์ยังไง และแนวโน้มล่าสุดเป็นแบบไหน อย่างเช่นเทรนด์น้ำหนักอินเดียที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่ หรือการเพิ่ม/ถอดหุ้นเด่นๆ ในแต่ละรอบ ก็จะช่วยให้เรามองภาพการลงทุนได้กว้างขึ้น และไม่ตกใจกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับพอร์ตของกองทุน Passive ครับ
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว อาจจะไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะการปรับสมดุลนี้เป็นการปรับตามพื้นฐานและ Free Float ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ราคาหุ้นระยะยาวก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทอยู่ดี แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ชอบเทรดระยะสั้น หรือลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนี การติดตามข่าว MSCI rebalance ก็อาจจะช่วยให้คุณวางแผนการเข้า-ออก หรือบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้นครับ การรู้ว่า MSCI จะปรับสมดุลเมื่อไหร่ และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เหมือนกับการมีข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจ แต่จำไว้เสมอว่านี่เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
⚠️ ข้อควรระวังคือ อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าซื้อหรือขายตามข่าว MSCI แบบไม่ลืมหูลืมตาโดยเด็ดขาดนะครับ ควรศึกษาหุ้นตัวนั้นๆ หรือกองทุนที่คุณสนใจให้เข้าใจพื้นฐานก่อน และประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้เสมอ เพราะแม้แต่การเปลี่ยนแปลงในดัชนีใหญ่ๆ ก็อาจไม่ได้ส่งผลในทิศทางที่คุณคาดหวังเสมอไป การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนครับ ข้อมูลที่เราพูดถึงวันนี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่าง MSCI เอง รวมถึงบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินใหญ่อย่าง Northern Trust Asset Management แต่ภาพรวมตลาดเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ