MSCI ACWI คืออะไร? ลงทุนง่ายๆ เปิดโลกหุ้นทั่วโลก!

เพื่อนๆ เคยรู้สึกไหมครับว่า เก็บเงินไว้ในธนาคารดอกเบี้ยมันน้อยจัง… พอจะลงทุนในประเทศ บางทีก็ไม่รู้จะเลือกหุ้นตัวไหนดี หุ้นไทยก็มีอยู่ไม่กี่ร้อยตัว แถมตลาดก็มีขึ้นมีลงตลอดเวลา

แล้วถ้าเราลองมองออกไปนอกประเทศล่ะ? โลกมันกว้างใหญ่มาก มีบริษัทดีๆ ที่เติบโตระดับโลกตั้งมากมาย ถ้าเราเอาเงินออมของเราไปร่วมเป็นเจ้าของบริษัทพวกนั้นด้วยเล็กๆ น้อยๆ ผลตอบแทนระยะยาวก็น่าจะดีกว่าการฝากเงินเฉยๆ ใช่ไหมครับ?

ปัญหาคือ… แล้วจะไปลงทุนหุ้นต่างประเทศยังไง? เลือกเองเป็นร้อยเป็นพันตัวคงไม่ไหวแน่ๆ ข้อมูลก็เยอะ ภาษาอังกฤษอีก… โอย ปวดหัว!

ไม่ต้องกังวลครับ! เพราะในโลกการลงทุน มันมี “เครื่องมือ” หรือ “เข็มทิศ” ที่ช่วยให้เรามองภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกได้ง่ายขึ้นมาก นั่นก็คือ **ดัชนี MSCI** นั่นเองครับ

**แล้วเจ้าดัชนี MSCI นี่คืออะไรกันนะ?**

พูดง่ายๆ ดัชนี MSCI (อ่านว่า เอ็ม-เอส-ซี-ไอ) ก็คือ ดัชนีวัดผลตอบแทนการลงทุนระดับโลก ที่จัดทำโดยบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) ครับ เขามีมานานกว่า 35 ปีแล้วนะ เป็นที่ยอมรับมากๆ ในหมู่นักลงทุนสถาบันทั่วโลก ใช้เป็น “มาตรฐานเทียบวัดผล” (Benchmark) ว่ากองทุนต่างๆ ทำผลงานได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม

ดัชนี MSCI เนี่ย มีหลายแบบมากๆ เลยครับ แบ่งตามภูมิภาคบ้าง แบ่งตามลักษณะตลาดบ้าง (เช่น ตลาดที่พัฒนาแล้ว หรือตลาดเกิดใหม่) หรือแบ่งตามขนาดหุ้น

ทีนี้ ถ้าใครอยากลงทุนให้ “ครอบคลุมกว่า” อยากลงทุนในหุ้นใหญ่ๆ ของโลก ทั้งในประเทศที่เจริญมากๆ แล้ว และประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นมา… ดัชนีที่ได้รับความนิยมและมักถูกพูดถึงก็คือ **ดัชนี MSCI ACWI** นี่แหละครับ

**ไขข้อข้องใจ: MSCI ACWI คืออะไร แตกต่างกับ MSCI World ยังไง?**

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ **MSCI World Index** มาก่อน ดัชนีตัวนี้เขาจะวัดจากหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ ใน 23 ประเทศที่เป็น “ตลาดพัฒนาแล้ว” (Developed Market – DM) ครับ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย เป็นต้น มีหุ้นอยู่ในตะกร้าประมาณ 1,500 ตัว (ข้อมูล ณ ส.ค. 66)

แต่ถ้าใครอยากลงทุนให้ “กว้างกว่า” และ “ครอบคลุมกว่า” นั้น ก็ต้องรู้จักกับ **MSCI ACWI** หรือ **ดัชนี MSCI All Country World Index** ครับ

พูดง่ายๆ **msci acwi คือ** ดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่-กลาง ทั้งในกลุ่มประเทศ “ตลาดพัฒนาแล้ว” (Developed Market – DM) ซึ่งมี 23 ประเทศ เหมือน MSCI World เป๊ะๆ เลยนะ แต่เพิ่มเติมคือ… “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Market – EM) เข้าไปด้วยอีก 24-27 ประเทศ (ข้อมูล ณ ส.ค./พ.ย. 66)

ลองนึกภาพนะครับ ถ้า MSCI World คือตะกร้าหุ้นของกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว **msci acwi คือ** ตะกร้าที่ใหญ่กว่ามาก เพราะนอกจากจะมีหุ้นจากประเทศเจริญแล้วเหมือนกันแล้ว ยังมีหุ้นจากประเทศที่กำลังพัฒนาอย่าง จีน อินเดีย เกาหลีใต้ บราซิล แอฟริกาใต้ หรือแม้กระทั่ง ไทย (ซึ่งอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่) เข้ามาเพิ่มด้วย ทำให้ **msci acwi คือ** ดัชนีที่ครอบคลุมโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นโลกถึงประมาณ 85% เลยทีเดียว และมีจำนวนหุ้นรวมกันถึงเกือบ 3,000 ตัว!

**เจาะลึกเข้าไปในตะกร้า MSCI ACWI มีอะไรอยู่ข้างในบ้าง?**

ถ้าเราลองเปิดดูว่าในตะกร้า **msci acwi** เนี่ย มีหุ้นจากประเทศไหน หรืออยู่ในธุรกิจอะไรบ้าง เราจะเห็นภาพการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจครับ

ข้อมูล ณ ช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 บอกเราว่า สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดใน **msci acwi** แน่นอนว่ายังเป็นพี่ใหญ่ สหรัฐอเมริกา ที่กินส่วนแบ่งไปกว่า 61-62% เลยทีเดียว ตามมาด้วย ญี่ปุ่น (ประมาณ 5%) อังกฤษ (ประมาณ 3-4%) จีน (ประมาณ 3%) แคนาดา และฝรั่งเศส (ประมาณ 3%) ครับ จะเห็นว่าการลงทุนยังคงกระจุกตัวอยู่ในสหรัฐฯ มาก แต่ก็มีการกระจายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย

ส่วนถ้าดูตามประเภทธุรกิจ หรือ “อุตสาหกรรม” ล่ะ? อุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักเยอะสุดใน **msci acwi** ก็คือ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Info Tech) ประมาณ 21% รองลงมาคือ กลุ่มการเงิน (Financials) ประมาณ 15% กลุ่มสุขภาพ (Health Care) ประมาณ 11-13% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) ประมาณ 11-12% และกลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) ประมาณ 10% ครับ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าดัชนีนี้ให้น้ำหนักกับบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและการเงินเป็นหลัก

แล้วหุ้นเด่นๆ ใน **msci acwi** ล่ะ มีตัวไหนบ้าง? ก็หนีไม่พ้นชื่อบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดีครับ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ Google), Tesla, NVIDIA รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง United Health Care, Exxon Mobil, Johnson & Johnson (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน พ.ย. 22 / ส.ค. 66) หุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากสหรัฐฯ นั่นแหละครับ เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่มากๆ มีมูลค่าตลาดสูง ทำให้มีน้ำหนักเยอะในดัชนี

**แล้วผลตอบแทนที่ผ่านมาเป็นยังไง? และทำไมลงทุนผ่าน “กองทุนดัชนี” ที่อ้างอิง MSCI ถึงน่าสนใจ?**

ถ้าดูข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังของ **msci acwi** (ณ สิ้นเดือน พ.ย. 22 / 30 ก.ย. 66) จะพบว่า
* ย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6.6-6.8%
* ย้อนหลัง 5 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6.4-6.4%
* ย้อนหลัง 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 8.6%

ส่วนดัชนี MSCI World นั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน บางช่วงอาจจะเคยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า **msci acwi** เล็กน้อย (เช่น 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10.1%)

*ย้ำเตือนนะครับ!* ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้การันตีผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ ตัวเลขเหล่านี้แค่บอกให้รู้ว่าที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกในภาพรวม (ตามดัชนีนี้) เป็นอย่างไร

ทีนี้… แล้วทำไมการลงทุนผ่าน “กองทุนดัชนี” ที่อ้างอิง **msci acwi** หรือ MSCI World ถึงเป็นที่นิยมล่ะ?

1. **กระจายความเสี่ยงได้ดีมาก:** แทนที่จะเลือกหุ้นตัวเดียว หรือลงทุนแค่ในประเทศเดียว การลงทุนตามดัชนี **msci acwi คือ** การซื้อหุ้นเกือบ 3,000 ตัว ในเกือบ 50 ประเทศทั่วโลก! ถ้าหุ้นบางตัวไม่ดี หรือประเทศไหนมีปัญหา หุ้นตัวอื่น ประเทศอื่น ก็ยังช่วยพยุงผลตอบแทนรวมได้ เหมือนเรากระจายไข่ไปหลายๆ ตะกร้า แทนที่จะใส่ไว้ในตะกร้าเดียวแล้วทำตกแตกหมด
2. **ต้นทุนมักจะต่ำกว่า:** กองทุนประเภทนี้เรียกว่า “กองทุน Passive” คือเขาไม่ได้มีผู้จัดการกองทุนมานั่งวิเคราะห์เลือกหุ้นเองทีละตัวให้เหนื่อย แต่เน้นลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีที่สุด ทำให้ค่าธรรมเนียมการจัดการมักจะถูกกว่ากองทุนที่ผู้จัดการต้องเลือกหุ้นเอง (Active Fund) ครับ
3. **ความง่าย:** เหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลา ไม่ถนัดวิเคราะห์หุ้นรายตัว แค่ตัดสินใจว่าจะลงทุนในภาพรวมตลาดโลกแบบไหนดี (เช่น แบบครอบคลุมทั้งโลกอย่าง **msci acwi** หรือเฉพาะตลาดพัฒนาแล้วอย่าง MSCI World) แล้วก็ลงทุนในกองทุนที่ตามดัชนีนั้นๆ ได้เลย

**เบื้องหลังการคัดเลือกหุ้นเข้าดัชนี MSCI**

อยากรู้ไหมว่า MSCI เขาไม่ได้เลือกหุ้นมั่วๆ นะครับ มีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกและปรับปรุงดัชนีอยู่เสมอ เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพตลาดที่เป็นจริงมากที่สุด

เกณฑ์หลักๆ ที่ใช้เลือกหุ้นเข้าดัชนี เช่น หุ้นนั้นต้องมีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) คูณกับสัดส่วนที่คนทั่วไปซื้อขายได้จริง (Free Float) สูงกว่าขั้นต่ำที่กำหนด (ของไทยเคยกำหนดไว้ประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต้องมีสัดส่วน Free Float ขั้นต่ำ 15% มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และไม่มีข้อจำกัดในการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติครับ

MSCI เขาจะมีการทบทวนรายชื่อหุ้นทุกไตรมาส และปรับน้ำหนัก (Rebalance) ในดัชนีปีละ 2 ครั้ง คือช่วงปลายเดือนพฤษภาคมกับปลายเดือนพฤศจิกายนครับ การทำแบบนี้ทำให้หุ้นที่อยู่ในดัชนีมีความแข็งแกร่ง และดัชนีก็ทันสมัยอยู่เสมอ

**ลงทุนใน MSCI ACWI จากประเทศไทย ทำได้ง่ายๆ ผ่านกองทุนรวม**

สำหรับนักลงทุนในไทยที่สนใจลงทุนในดัชนีระดับโลกอย่าง **msci acwi** หรือ MSCI World ไม่จำเป็นต้องไปเปิดบัญชีลงทุนตรงในต่างประเทศให้ยุ่งยากครับ เราสามารถลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ของไทยเป็นผู้บริหารได้เลย

กองทุนเหล่านี้มักจะลงทุนต่อในกองทุนต่างประเทศ หรือกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ขนาดใหญ่ ที่มีนโยบายลงทุนอ้างอิงกับดัชนี MSCI ACWI หรือ MSCI World โดยตรง ตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดเคแทม โกลบอล อิควิตี้ พาสซีฟ ฟันด์ (KT-GEQ-A) ของ บลจ.กรุงไทย หรือ กองทุนเปิดกรุงศรีเวิลด์อิควิตี้อินเด็กซ์ (KFWINDX) ของ บลจ.กรุงศรี ที่เน้นลงทุนใน ETF ที่ตามดัชนี **msci acwi** หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ดัชนีหุ้นโลก (SCB World Equity Index) ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ที่เน้นลงทุนตามดัชนี MSCI World เป็นต้น

การลงทุนผ่านกองทุนรวมเหล่านี้ ถือเป็นทางเลือกที่ง่าย สะดวก และช่วยให้เราสามารถร่วมลงทุนไปกับหุ้นชั้นนำของโลกในระยะยาวได้ครับ

**คำเตือนและความเสี่ยงที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน**

แม้ว่าการลงทุนในกองทุนดัชนี MSCI ACWI หรือ MSCI World จะดูน่าสนใจและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงเสมอครับ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้ด้วย:

* **ความเสี่ยงทั่วไปของการลงทุนในกองทุนรวม:** ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
* **ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้การันตีผลการดำเนินงานในอนาคต:** อย่าเอาผลตอบแทนที่ผ่านมาเป็นที่ตั้งทั้งหมด เพราะตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
* **ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว:** แม้จะลงทุนทั่วโลก แต่ก็ยังมีการกระจุกตัวในบางประเทศ (เช่น สหรัฐฯ) และบางอุตสาหกรรม (เช่น เทคโนโลยี) หากประเทศหรืออุตสาหกรรมเหล่านั้นมีปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนได้ครับ ควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนโดยรวมของเราด้วย
* **ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน:** กองทุนเหล่านี้ไปลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้น มูลค่าการลงทุนของเราอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหล่านั้น ผู้จัดการกองทุนอาจมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและนโยบายของแต่ละกองทุนครับ

สรุปง่ายๆ การลงทุนผ่านกองทุนที่อิง **msci acwi คือ** การซื้อ “ตะกร้าหุ้น” ขนาดใหญ่ระดับโลก ที่รวมเอาบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาเข้าไว้ด้วยกัน เป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความยุ่งยากในการเลือกหุ้นรายตัว และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วยครับ

ถ้าสนใจ ลองศึกษาข้อมูลกองทุนที่อ้างอิงดัชนีเหล่านี้เพิ่มเติม อ่านหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจ และพิจารณาว่าเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่เรารับได้หรือไม่ ก่อนที่จะเริ่ม “โกอินเตอร์” ไปลงทุนในตลาดหุ้นโลกนะครับ!

Leave a Reply