**MSCI คืออะไร?** ไขความลับหุ้นขึ้นลง ที่กองทุนใหญ่ใช้!

ลองนึกภาพตามนะครับว่า จู่ๆ หุ้นตัวที่เราเล็งไว้ หรืออาจจะถืออยู่ เกิดราคาพุ่งแรง หรือบางทีก็ดิ่งลงไปเฉยเลย… ทั้งๆ ที่งบการเงินก็ยังดูดีอยู่ หรือไม่ได้มีข่าวร้ายอะไรชัดๆ เลย คุณเคยสงสัยไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น? หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่มักจะถูกพูดถึงก็คือเรื่องของ “ดัชนี MSCI” หรือที่นักลงทุนชอบเรียกว่า “ตะกร้าหุ้น MSCI” นั่นแหละครับ แล้วไอ้เจ้า msci คือ อะไรกันแน่ ทำไมถึงมีอิทธิพลกับตลาดหุ้นบ้านเราขนาดนี้? วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนครับ

ก่อนอื่นเลย มาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปกันก่อนครับ msci คือ ดัชนีอ้างอิงที่สร้างขึ้นโดยบริษัทระดับโลกชื่อ Morgan Stanley Capital International (มอร์แกน สแตนลีย์ แคปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล) ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญเรื่องการจัดทำดัชนี การวิเคราะห์ความเสี่ยง และเครื่องมือด้านธรรมาภิบาลต่างๆ ทั่วโลก เขาเปรียบเสมือน “คนจัดอันดับ” หรือ “ผู้สร้างมาตรฐาน” ให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกเลยครับ แล้วดัชนีเหล่านี้เขาเอาไปทำอะไรกันล่ะ? ส่วนใหญ่เลยนะครับ นักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำนาญ กองทุนรวมขนาดใหญ่ หรือผู้จัดการกองทุนต่างๆ เขาจะใช้ดัชนี **MSCI** เป็น “เกณฑ์เทียบเคียง” หรือที่เรียกว่า Benchmark ในการวัดผลงานของพอร์ตการลงทุนของตัวเองครับ เหมือนเวลาเราวิ่งแข่ง แล้วมีนาฬิกาจับเวลาคอยบอกว่าเราวิ่งได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับสถิติที่ดีที่สุดนั่นแหละครับ

นอกจากนี้ เขายังใช้ **ดัชนี MSCI** ในการหาไอเดียลงทุนใหม่ๆ ดูว่าตลาดไหน ธีมไหน ประเทศไหน หรือแม้แต่หุ้นขนาดไหนที่น่าสนใจ เขายังใช้ดูสัดส่วนการลงทุนตามภูมิภาคหรือเซ็กเตอร์ต่างๆ ได้ด้วยครับ หรือถ้าอยากเจาะลึกจริงๆ ก็ใช้ดูปัจจัยเชิงพื้นฐานเฉพาะกลุ่มเซ็กเตอร์ได้อีก (เช่น เอาไว้เปรียบเทียบมูลค่า ความผันผวน หรือปันผลของหุ้นในกลุ่มเดียวกัน) เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ของพวกกองทุนใหญ่ๆ เลยครับ

ดัชนี msci คือ สิ่งที่มีอยู่หลากหลายมากๆ ครับ ไม่ได้มีแค่ดัชนีหุ้นอย่างเดียว แต่ยังมีพวกตราสารหนี้ ตลาดเงิน อสังหาริมทรัพย์ด้วย แต่ที่นักลงทุนหุ้นให้ความสนใจก็คือดัชนีหุ้นนี่แหละครับ เขาจะแบ่งย่อยไปอีกเยอะเลย เช่น แบ่งตามประเทศ (อย่าง **MSCI Thailand Index**), แบ่งตามภูมิภาค (เช่น เอเชีย), หรือแบ่งตามระดับการพัฒนาของประเทศ (อย่างตลาดพัฒนาแล้ว Developed Markets กับตลาดเกิดใหม่ Emerging Markets) ซึ่งประเทศไทยเราก็อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ครับ

การจะเลือกหุ้นเข้าไปคำนวณในดัชนี **MSCI** เนี่ย ไม่ใช่ว่านึกจะเอาตัวไหนเข้าก็ได้นะครับ มันมีกระบวนการคัดกรองที่ละเอียดมากๆ เลย โดยทั่วไปแล้ว เขาจะพิจารณาจากหลายอย่าง เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ (อันนี้สำคัญสำหรับพวกตลาดพัฒนาแล้ว), ขนาดของหลักทรัพย์ต้องใหญ่พอ มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงๆ และที่สำคัญมากๆ คือ ตลาดหุ้นของประเทศนั้นๆ ต้องมีเงื่อนไขในการเข้าถึงที่สะดวกสำหรับนักลงทุนสถาบัน (เช่น มีความเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้สะดวก, มีความยืดหยุ่นในการนำเงินทุนเข้าออกประเทศ, มีประสิทธิภาพในการซื้อขายหลักทรัพย์, มีความหลากหลายของเครื่องมือทางการเงิน และมีความเสถียรของสถาบันที่เกี่ยวข้องในตลาด) หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า **ดัชนี MSCI** จึงถือว่าผ่านการพิจารณามาอย่างดี ทั้งในแง่คุณภาพของตัวบริษัทเองและสภาพแวดล้อมการลงทุนในประเทศนั้นๆ ครับ

ทีนี้มาเจาะลึกที่เกณฑ์การคัดเลือกหุ้นไทยเข้า **ดัชนี MSCI** กันบ้างครับ สำหรับบ้านเรา เนี่ย มีเกณฑ์เฉพาะที่ต้องผ่านด่านสำคัญคือเรื่อง “สภาพคล่อง” ครับ เขาจะวัดจาก “ฟรีโฟลต” (Free Float) ของหุ้นตัวนั้น ซึ่งก็คือ สัดส่วนของหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ หรือนักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดจริงๆ ไม่ใช่หุ้นที่ถูกถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่มากๆ หรือผู้บริหาร หรือรัฐบาลนะครับ หุ้นที่จะเข้า **ดัชนี MSCI** ได้ต้องมีฟรีโฟลตอย่างน้อย 15% และที่สำคัญกว่านั้นคือ มูลค่าตลาด (Market Cap) ของหุ้นตัวนั้น เมื่อเอาไปคูณกับสัดส่วนฟรีโฟลตแล้ว ต้องมีมูลค่าสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับประเทศไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ครับ นั่นแปลว่าหุ้นตัวนั้นต้องใหญ่จริง มีหุ้นที่หมุนเวียนให้ซื้อขายได้เยอะจริง ถึงจะมีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ในตะกร้า **MSCI** ครับ

พอรู้เกณฑ์แล้ว หลายคนคงพอจะเดาออกนะครับว่า การที่หุ้นตัวไหนถูกเลือกเข้าไปคำนวณใน **ดัชนี MSCI** เนี่ย มันมีความหมายมากๆ เลยครับ เพราะมันเหมือนกับการประทับตราว่า “หุ้นตัวนี้มีคุณภาพดี ผ่านมาตรฐานสากลแล้วนะ” สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัท ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติที่ใช้ **ดัชนี MSCI** เป็นตัวกรองหุ้นอยู่แล้ว หันมาสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้นครับ พวกเขาจะใช้ **ดัชนี MSCI** เป็นเหมือน “ทางลัด” ในการตัดสินใจลงทุน พอมีคำสั่งซื้อจากกองทุนต่างชาติเข้ามาเยอะๆ ราคาก็มีโอกาสปรับตัวขึ้น แถมยังอาจจะมีแรงเก็งกำไรจากนักลงทุนในประเทศที่คาดการณ์ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะเข้า **MSCI** ดันราคาก่อนวันประกาศผลด้วยครับ

มีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจบอกว่า หุ้นไทยที่ถูกเข้าคำนวณใน **MSCI** Global Standard (พวกหุ้นใหญ่) และ Global Small Cap (พวกหุ้นเล็ก) มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ดีหลังถูกเข้าคำนวณและมีโอกาสบวกสูงกว่าหุ้นที่ไม่ได้เข้า (แต่อย่าลืมว่านี่คือสถิติในอดีตนะครับ อนาคตไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิมเสมอไป) แต่ในอีกด้านหนึ่ง พอประกาศผลอย่างเป็นทางการแล้ว บางทีก็อาจจะเกิดปรากฏการณ์ “Sell on Fact” คือพอเรื่องจริงออกมา (fact) ราคากลับปรับลดลง เพราะแรงเก็งกำไรก่อนหน้านี้หมดไปนั่นเองครับ ในทางตรงกันข้าม หุ้นตัวไหนที่ถูกคัดออก หรือ “หลุด” จาก **ดัชนี MSCI** ราคาก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงตามแรงขายของนักลงทุนสถาบันที่ต้องปรับพอร์ตตามดัชนีครับ ตัวอย่างหุ้นไทยที่อยู่ใน **MSCI Thailand Index** (พวกหุ้นขนาดใหญ่) ก็เช่น ปตท., ซีพี ออลล์, ปูนซิเมนต์ไทย, เอไอเอส, ท่าอากาศยานไทย, ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม และอื่นๆ อีกหลายตัวครับ ส่วนหุ้นใน **MSCI** Global Small Cap ก็มีการทบทวนและปรับเปลี่ยนเป็นประจำทุกงวดครับ (ยกตัวอย่างการประกาศเมื่อต้นปี 2566 นะครับ ไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด) เช่น หุ้นที่เคยถูกเข้าก็มี AURA, BTG, ONEE, SNNP, THCOM ส่วนที่เคยถูกออกก็มี COM7, TIDLOR, TISCO ครับ ส่วน BANPU เคยถูกย้ายจาก Global Small Cap เข้าไปอยู่ใน Global Standard ครับ นี่เป็นเพียงตัวอย่างให้เห็นภาพว่ามีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอครับ

หลายคนอาจจะสับสนนะครับว่าแล้ว **ดัชนี MSCI** กับ **SET Index** (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบ้านเรา) มันต่างกันยังไง? อธิบายง่ายๆ คือ **SET Index** เนี่ย เขาจะคำนวณจากหุ้น *ทั้งหมด* ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นไทยทั้งหมดครับ คิดตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ของหุ้นทั้งหมดรวมกัน แต่งานของ msci คือ การสร้างดัชนีที่มีเกณฑ์คัดเลือกที่ *เฉพาะเจาะจง* กว่ามาก ทั้งเรื่องขนาด สภาพคล่อง และความสะดวกในการเข้าถึงของนักลงทุนสถาบันต่างชาติครับ เหมือน **SET Index** เป็นภาพถ่ายหมู่รวมทุกคนในห้อง ส่วน **ดัชนี MSCI** เหมือนเป็นภาพถ่ายกลุ่มเล็กๆ ที่คัดเลือกมาเฉพาะคนที่ผ่านเกณฑ์ที่เขากำหนดไว้ครับ ดังนั้น ทั้งสองดัชนีนี้จึงใช้สะท้อนและวัดผลตลาดหุ้นไทยในมุมมองที่แตกต่างกันครับ

สรุปง่ายๆ คือ **ดัชนี MSCI** เป็นเครื่องมือสำคัญระดับโลกที่นักลงทุนสถาบันใช้กันอย่างแพร่หลาย การที่หุ้นไทยตัวไหนเข้าหรือหลุดจากตะกร้า **MSCI** มักจะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนั้นๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติครับ แต่นั่นก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นนะครับ ⚠️ ข้อควรระวังที่สำคัญมากๆ คือ การที่หุ้นตัวไหนเข้า **MSCI** ไม่ได้หมายความว่าหุ้นตัวนั้นจะดีเลิศประเสริฐศรีเสมอไป และไม่ใช่การรับประกันว่าราคาจะขึ้นตลอดกาลครับ นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ไม่ควรใช้แค่ปัจจัยเรื่องการเข้า **MSCI** เป็นเหตุผล *เดียว* ในการตัดสินใจซื้อหุ้นนะครับ ควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ ให้ละเอียด งบการเงินเป็นยังไง ธุรกิจเป็นยังไง มีแนวโน้มการเติบโตไหม และประเมินความเสี่ยงต่างๆ ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนคือการบริหารความเสี่ยงและการตัดสินใจจากข้อมูลรอบด้าน ไม่ใช่แค่การวิ่งตามข่าวหรือกระแสเท่านั้นครับ อย่างแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอย่าง Moneta Markets เอง เขาก็มีเครื่องมือและข้อมูลหลากหลายรูปแบบให้เราศึกษาประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ดูตามดัชนีอย่างเดียวครับ

Leave a Reply