
ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกดูจะซึมๆ แปลกๆ นะครับ ไม่ว่าจะเปิดข่าวจากฝั่งอเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย ส่วนใหญ่ก็จะเห็นตัวเลขแดงๆ ร่วงลงเกือบทุกตลาดเลยทีเดียว เพื่อนผมที่ลงทุนอยู่หลายคนก็เริ่มบ่นๆ กันว่า “เกิดอะไรขึ้นกับตลาด? เงินเราจะหายไปไหนหมดเนี่ย?”
มันก็เหมือนเวลาที่เรากำลังจะออกจากบ้านแล้วเห็นเมฆดำทะมึนมาแต่ไกลนั่นแหละครับ สัญชาตญาณแรกคือต้องระวังตัว ตลาดการเงินตอนนี้ก็เช่นกันครับ นักลงทุนทั่วโลกกำลังรู้สึกเหมือนเมฆก้อนใหญ่กำลังลอยเข้ามา นั่นคือความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าเศรษฐกิจกำลังป่วยหนักนั่นเองครับ
พอทุกคนเริ่มกลัว เศรษฐกิจไม่ดี บริษัทอาจจะทำกำไรได้น้อยลง หรือแย่กว่านั้นคือขาดทุน นักลงทุนก็เลยแหยงๆ ไม่อยากจะถือหุ้นที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์เสี่ยง” ครับ เงินลงทุนจำนวนมากจึงถูกย้ายออกจากตลาดหุ้นไปพักอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า อย่างเช่น “พันธบัตร” (Bond) ของรัฐบาลประเทศที่น่าเชื่อถือครับ เมื่อความต้องการพันธบัตรสูงขึ้น ราคามันก็จะพุ่งขึ้น และที่สำคัญคือ “อัตราผลตอบแทน” ของพันธบัตรจะปรับตัวลดลง เป็นภาพที่เห็นได้ชัดในช่วงนี้เลยครับ
ลองดูตลาดหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลกก็ได้ครับ ดัชนีหุ้นต่างๆ ร่วงกันเป็นโดมิโน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ (ยกเว้นพี่ใหญ่อย่างจีนที่ CSI300 ยังพอทรงตัวหรือบวกเล็กน้อยได้บ้าง) หรือแม้แต่ตลาดหุ้นล่วงหน้าของสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และแนสแดค (Nasdaq) ที่เน้นหุ้นเทคฯ ก็ร่วงหนักกว่า ส่วนฝั่งยุโรปก็ไม่รอดครับ ดัชนี EUROSTOXX 50 และ ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 (FTSE 100 หรือที่บางทีเรียกสั้นๆ ว่า ฟุตซี่ – Footsie) ของอังกฤษก็เห็นแรงขายทำกำไรออกมา ภาพรวมคือทั่วโลกกำลังอยู่ในโหมด “หลบภัย” ครับ
แล้วอะไรคือสาเหตุหลักของความกลัวนี้? ก็ต้องหันไปมองพี่ใหญ่สุดอย่างสหรัฐอเมริกาครับ ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก มันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเริ่มแผ่วลงแล้วนะ
ข้อมูลที่อ่อนแอแบบนี้ไปเพิ่มแรงกดดันให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เฟด” (Fed) อย่างมหาศาลเลยครับ ก่อนหน้านี้เฟดยังคงลังเลว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสู้เงินเฟ้อ หรือจะหยุดเพื่อประคองเศรษฐกิจ รายงานการประชุมครั้งล่าสุดก็ยังเห็นเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.25% แต่บางส่วนก็ยังอยากขึ้นแรงๆ ถึง 0.50% ด้วยซ้ำ แต่พอเจอตัวเลขจ้างงานแบบนี้เข้าไป ท่าทีก็เริ่มเปลี่ยนครับ ตลาดให้น้ำหนักสูงมากว่าเฟดจะต้อง “ปรับลดอัตราดอกเบี้ย” ลงในการประชุมเดือนกันยายนนี้แน่ๆ และอาจจะลดลงเร็วกว่าและแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำไปครับ
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินใหญ่ๆ ก็เริ่มปรับมุมมองกันยกใหญ่ครับ อย่างนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ก็เพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้า จากเดิม 15% เป็น 25% เลยทีเดียว และคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ (กันยายน, พฤศจิกายน, ธันวาคม) ส่วนนักวิเคราะห์จาก JPMorgan มองว่าโอกาสถดถอยในสหรัฐฯ สูงถึง 50% และคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยแรงถึง 50 เบซิสพอยต์ ในเดือนกันยายนและพฤศจิกายน เป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ดูไม่ดีเท่าไหร่แล้วครับ

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ประเทศอื่นๆ ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจครับ อย่างญี่ปุ่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีก็ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนว่าตลาดเริ่มไม่เชื่อว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ส่วนในสหรัฐฯ เอง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุสั้น (2 ปี) ก็ปรับลดลงจนอาจจะต่ำกว่าพันธบัตรอายุยาว (10 ปี) ซึ่งภาวะที่เรียกว่า Yield Curve Inversion นี้ ในอดีตถือเป็นสัญญาณเตือนที่ค่อนข้างแม่นยำของภาวะเศรษฐกิจถดถอยครับ ขณะที่เยอรมนีก็ยังปวดหัวกับปัญหาเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่ (ข้อมูลเดือน ก.พ. เงินเฟ้อเพิ่ม 8.7% ต่อปี) แต่ข่าวดีเล็กๆ จากจีนคือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของไฉซินปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52.1 จุด ซึ่งเกิน 50 แสดงถึงการขยายตัว ถือเป็นภาพที่สวนทางกับตลาดโลกอยู่บ้าง
ทีนี้ มาเจาะลึกถึงพระเอกของเราในวันนี้บ้าง นั่นคือ ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ครับ ชื่อเต็มๆ คือ UK Financial Times Stock Exchange 100 เป็นดัชนีที่รวมหุ้นของ 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด (บางทีอาจจะมี 102 หลักทรัพย์ นับตามมูลค่าตลาด) ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange – LSE) ครับ ดัชนีนี้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ 3 มกราคม ปี 2527 โดยให้ค่าเริ่มต้นที่ 1,000 จุด และคำนวณแบบเรียลไทม์ตลอดเวลาทำการซื้อขาย
ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ถือเป็นดัชนีอ้างอิงที่สำคัญมากๆ ของตลาดหุ้นอังกฤษ และคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 81% ของมูลค่าตลาดรวมของ LSE เลยทีเดียวครับ แม้ว่าในอดีตมันจะถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของหุ้นอังกฤษที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบันนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าดัชนี FTSE 250 ซึ่งรวมบริษัทขนาดกลางถึงเล็กมากกว่า อาจจะสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจของอังกฤษเองได้ดีกว่า เพราะบริษัทใน FTSE 100 หลายแห่งเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้มาจากทั่วโลก ไม่ได้พึ่งพิงเศรษฐกิจอังกฤษเพียงอย่างเดียวครับ
การคำนวณของ ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 จะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap Weighted) แต่จะปรับด้วยสัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดจริงๆ (Free Float Adjusted) เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยได้ดียิ่งขึ้นครับ รายชื่อบริษัทในดัชนีนี้จะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนทุกไตรมาส (เดือนมีนาคม, มิถุนายน, กันยายน, ธันวาคม) เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงเป็น 100 บริษัทที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงอยู่เสมอ
บริษัทที่จะถูกเลือกเข้ามาอยู่ในดัชนี ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ต้องมีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ราคาหุ้นต้องถูกต้อง มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงสำหรับผู้ถือหุ้น สัดส่วน Free Float ต้องสูงพอ (ในอังกฤษ > 25%, นอกอังกฤษ > 50%) และมีปริมาณการซื้อขายสูงพอที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากเกินไปเมื่อมีการซื้อขายมากๆ ครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “เราจะลงทุนใน ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ได้ยังไง?” คำตอบคือเราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” ได้โดยตรงครับ เพราะดัชนีเป็นแค่ตัวเลขที่ใช้อ้างอิง แต่เราสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อิงกับดัชนีนี้ได้ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อิงกับ FTSE 100, กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี หรือแม้กระทั่งเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบหลักๆ ของดัชนีนี้เองครับ

ปัจจุบัน (จากข้อมูลล่าสุดที่มี) มูลค่าของ ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 อยู่ที่ประมาณ 8,559.32 ปอนด์สเตอร์ลิง และมีการปรับลดลงเล็กน้อย -0.44% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาครับ แต่ถ้ามองภาพที่กว้างขึ้น ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนี้ยังบวกได้ +1.14% และในรอบเดือนที่ผ่านมาบวกไปแล้วกว่า +6.27% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนในระยะสั้น แต่ก็ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาในระยะกลางครับ ถ้ามองภาพหนึ่งปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกที่ +4.21% ครับ
หุ้นที่เป็นส่วนประกอบขนาดใหญ่ที่สุดใน ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 วัดตามมูลค่าตลาด ณ ข้อมูลปี 2020 ได้แก่ AstraZeneca (บริษัทยา), HSBC Hldgs (ธนาคาร) และ SHEL (บริษัทน้ำมัน Shell) ครับ ส่วนภาคส่วนที่มีน้ำหนักการถ่วงน้ำหนักสูงที่สุดในดัชนีเมื่อปี 2020 คือ กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) ที่ 12.93% ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าครัวเรือนและส่วนบุคคล (Consumer Staples) 12.91% และกลุ่มน้ำมันและแก๊ส (Oil & Gas) 12.48% แสดงให้เห็นว่าดัชนีนี้มีความกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีค่อนข้างมากครับ หุ้น 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดสุทธิสูงสุดเมื่อปี 2020 คิดเป็นน้ำหนักรวมกันถึง 27.50% ของดัชนีเลยทีเดียวครับ
ในอดีตช่วงที่มีการระบาดหนักของไวรัสโคโรนา (ข้อมูลเก่า) ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ก็เคยปรับตัวร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยภายนอกที่เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นนี้เช่นกันครับ
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 กำลังเผชิญกับความท้าทายจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของเฟด แม้ว่า ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 จะแสดงประสิทธิภาพที่เป็นบวกในช่วงสัปดาห์และเดือนที่ผ่านมา แต่ภาพรวมของตลาดโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนกำลังจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจและการตัดสินใจของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด
สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจสถานการณ์ภาพใหญ่ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวนสูงมากครับ
⚠️ ข้อควรรู้และความเสี่ยง: การลงทุนในตลาดการเงิน รวมถึงการซื้อขายตราสารที่อิงกับดัชนีอย่าง ดัชนีเอฟทีเอสอี 100 มีความเสี่ยงสูงมากที่อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ครับ ตราสารบางประเภท เช่น การซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (Margin Trading) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทวีคูณขึ้นไปอีก ข้อมูลราคาหรือตัวเลขต่างๆ ที่เราเห็นในแหล่งข้อมูลทั่วไป (ยกเว้นจากตลาดหลักทรัพย์โดยตรง) อาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์เสมอไป และอาจมาจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ไม่ใช่จากราคาที่ซื้อขายจริงในตลาด ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้ควรใช้เป็นเพียง “ราคาชี้นำ” หรือแนวทางในการศึกษาเท่านั้นครับ ไม่ควรนำไปใช้อ้างอิงโดยตรงในการตัดสินใจซื้อขายจริงโดยไม่ตรวจสอบซ้ำกับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่านี้
ก่อนตัดสินใจลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อน หรือในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงแบบนี้ นักลงทุนทุกคนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาว่าการลงทุนนั้นเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้หรือไม่ครับ หากเงินทุนไม่สูง หรือยังไม่มีประสบการณ์มากพอ การเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแบบนี้ อาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ หรืออาจจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจใดๆ ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ.