Dow Jones คืออะไร? ทำไมคนไทยต้องรู้! เจาะลึกดัชนีหุ้นที่ทรงอิทธิพล

สวัสดีครับนักลงทุนและเพื่อนๆ ที่ติดตามข่าวสารการเงินทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งในฐานะคอลัมนิสต์คู่ใจที่พร้อมจะย่อยเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายเหมือนอ่านนิทานก่อนนอนนะครับ

เพื่อนๆ เคยไหมครับที่เปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือไถฟีดในโซเชียล แล้วเจอตัวเลข ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นลงเป็นหลักร้อยหลักพันจุด บางทีก็เห็นชื่อคุ้นหูอย่าง “ดาวโจนส์” (Dow Jones) คืออะไร นะ? แล้วทำไมมันถึงสำคัญกับเราคนไทยนัก ทั้งๆ ที่อยู่กันคนละซีกโลกเลย?

ถ้าคุณเคยสงสัยแบบนี้ แสดงว่ามาถูกที่แล้วครับ เพราะวันนี้ผมจะพาไปทำความรู้จักกับหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก นั่นก็คือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) หรือที่เรียกติดปากกันว่า “ดาวโจนส์” นั่นเองครับ

เอาล่ะครับ มาทำความรู้จักกันหน่อยว่า เจ้า Dow Jones คืออะไร กันแน่? ถ้าเปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ดัชนีดาวโจนส์ ก็เหมือนกับ “คณะกรรมการตัวแทนนักกีฬา” ระดับท็อป 30 คน ของประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ไม่ใช่นักกีฬาทั้งหมดนะ แต่เป็นคนที่เก่งที่สุด เป็นผู้นำในวงการต่างๆ มารวมกันเป็นทีม 30 คน

ดัชนีดาวโจนส์นี่เป็นดัชนีที่เก่าแก่มากๆ อันดับสองของอเมริกาเลยนะครับ จัดทำโดย Dow Jones & Company (ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ S&P Dow Jones Indices) ประกอบไปด้วยหุ้นของ 30 บริษัทชั้นนำ “ระดับบลูชิพ” ที่มีขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ หุ้นพวกนี้ถูกเลือกมาจากทั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหุ้น Nasdaq นะครับ

ความพิเศษอย่างหนึ่งของ ดัชนีดาวโจนส์ คือ วิธีการคำนวณครับ มันใช้วิธีที่เรียกว่า การถ่วงน้ำหนักตามราคา (Price Weighted Index) คือ หุ้นตัวไหนมี “ราคาต่อหุ้น” สูง หุ้นตัวนั้นก็จะมีสัดส่วนและอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยรวมมากกว่าหุ้นที่ราคาต่อหุ้นต่ำกว่าครับ ต่างจากดัชนีอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่ใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap Weighted Index) คือ หุ้นตัวไหน “บริษัทใหญ่” (มูลค่าตลาดรวมสูง) ก็จะมีอิทธิพลมากกว่า

ลองมาดูตัวอย่างสมาชิกทีมดาวโจนส์ 30 คน ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 กันหน่อยก็ได้ครับ มีแต่ชื่อคุ้นๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น UNITEDHEALTH (ธุรกิจสุขภาพ), GOLDMAN SACHS (การเงิน), MICROSOFT (เทคโนโลยี), APPLE (เทคโนโลยี), COCA COLA (เครื่องดื่ม), WALMART (ค้าปลีก) เป็นต้น ซึ่งทั้ง 30 บริษัทนี้แหละครับ ที่รวมกันสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลักๆ ของสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี

แล้วทำไมเราคนไทยที่อยู่ห่างไกลถึงต้องไปสนใจ Dow Jones ด้วยล่ะ? เหตุผลก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย เหมือนเป็นศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่มากๆ ครับ การเคลื่อนไหวของดัชนีหลักๆ อย่าง ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 (ซึ่งเป็นดัชนีหุ้น 500 บริษัทใหญ่ ที่หลายคนมองว่าสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้กว้างกว่า Dow Jones) และ Nasdaq Composite (ที่เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก) มักจะส่งอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกครับ

นึกภาพเรือธงลำใหญ่ที่แล่นอยู่ในมหาสมุทรสิครับ การเคลื่อนไหวของมัน ไม่ว่าจะเป็นแล่นฉิวไปข้างหน้า หรือสะดุดหยุดนิ่ง หรือแม้แต่ถอยหลัง ก็ย่อมส่งแรงกระเพื่อมไปยังเรือลำเล็กๆ ที่แล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน ใช่ครับ แรงกระเพื่อมนั้นมาถึงตลาดหุ้นบ้านเราอย่าง SET Index ด้วยครับ เราจึงมักเห็นว่า ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดี ตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงไทยก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย หรือถ้าเขาแย่ เราก็มักจะได้รับผลกระทบเช่นกัน

แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้ ดัชนีดาวโจนส์ เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ได้น่าติดตาม? ปัจจัยหลักๆ ก็มีอยู่หลายอย่างเลยครับ

อย่างแรกเลยก็คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Fed) ครับ การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ ‘เฟด’ นี่แหละตัวสำคัญเลย เพราะอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและผู้บริโภค ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ต้นทุนของบริษัทต่างๆ ก็สูงขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็อาจจะลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในที่สุด ในทางกลับกัน ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นครับ

อย่างที่สองคือ ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค ครับ รายงานต่างๆ ที่ออกมาเป็นระยะ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งบอกว่าเศรษฐกิจโตเร็วแค่ไหน, อัตราการว่างงาน ซึ่งบอกว่าคนมีงานทำมากน้อยแค่ไหน, หรือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งบอกว่าราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นแค่ไหน ตัวเลขเหล่านี้เป็นเหมือนสัญญาณชีพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครับ ถ้าตัวเลขออกมาดีกว่าที่คาด นักลงทุนก็เชื่อมั่น เศรษฐกิจแข็งแกร่ง หุ้นก็มีแนวโน้มขึ้น แต่ถ้าออกมาแย่ ตลาดก็อาจจะตกใจและปรับตัวลงได้

นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทสมาชิกทั้ง 30 ตัวใน ดัชนีดาวโจนส์ ก็ส่งผลโดยตรงครับ ถ้าบริษัทเหล่านี้ประกาศผลกำไรออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ราคาหุ้นของบริษัทก็จะปรับตัวขึ้น ซึ่งจะไปดันให้ดัชนีโดยรวมสูงขึ้นตามไปด้วยครับ

ไม่แค่นั้นนะครับ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็มีผลไม่น้อย เช่น การเลือกตั้งในสหรัฐฯ เอง, สงครามการค้า, ข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางทหารในภูมิภาคต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนและอาจทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ครับ รวมถึง อัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าหรืออ่อนค่า ก็ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและนำเข้าของบริษัทต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดก็สะท้อนมายังผลประกอบการและราคาหุ้นครับ

แล้วถ้าเราอยากลองลงทุนหรือเทรดตามความเคลื่อนไหวของ Dow Jones ล่ะ ทำได้ยังไงบ้าง?

สำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว หรืออยากลงทุนแบบไม่ต้องติดตามใกล้ชิดมาก วิธีที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายหน่อยก็คือ ผ่านกองทุนรวม ครับ มีกองทุนรวมหลายกองในประเทศไทยที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ ดัชนีดาวโจนส์ โดยตรง หรือกองทุนที่สร้างผลตอบแทนอ้างอิงตามดัชนีนี้ เช่น กองทุน SCBDJI(A) หรือ SCBDJI(SSF) ซึ่งสามารถหาข้อมูลและลงทุนผ่านช่องทางต่างๆ ได้ครับ เช่น แอปพลิเคชัน FinVest เป็นต้น

ส่วนใครที่ชอบความว่องไว หรืออยากลอง เทรด ทำกำไรจากความผันผวนของราคา ดัชนีดาวโจนส์ โดยตรง ก็ต้องมองพวก ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ครับ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Index Futures) ของ ดัชนีดาวโจนส์ หรือ CFD (Contract for Difference) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการเทรดดัชนีหุ้นต่างๆ

การเทรดผ่านตราสารอนุพันธ์พวกนี้ มักจะมีการใช้ เลเวอเรจ (Leverage) ครับ ซึ่งเปรียบเสมือน “คานงัด” ที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมสถานะการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่เราวางเป็นหลักประกันไว้ได้มาก เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า ถ้าเราวางเงิน 1 บาท เราสามารถควบคุมสถานะที่มีมูลค่า 100 บาทได้ ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เรามีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ได้ แม้จะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากนัก

แพลตฟอร์มการเทรดระหว่างประเทศหลายแห่งมักจะมีบริการเทรด ดัชนีดาวโจนส์ ผ่าน CFD หรือ Futures ครับ เช่น แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) เป็นต้น แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็จะมีเครื่องมือและสภาพคล่องให้เทรดได้หลากหลายรูปแบบการเทรดที่นิยมกัน เช่น Scalping (เน้นทำกำไรสั้นๆ มากๆ), Day Trading (ซื้อขายจบภายในวันเดียว ไม่ถือข้ามคืน), หรือ Swing Trading (ถือสถานะระยะกลางๆ 2-3 วันถึงสัปดาห์)

**แต่เดี๋ยวก่อน!** ก่อนจะกระโจนเข้าไป ต้องรู้เรื่องนี้ก่อนครับ การเทรดด้วยเลเวอเรจ โดยเฉพาะ CFD เนี่ย… มีความเสี่ยง “สูงมาก” ครับ!

ข้อนี้สำคัญมากๆ ต้องขีดเส้นใต้หนาๆ เลยนะครับ เพราะเลเวอเรจมันเป็นดาบสองคม มันช่วยให้เราทำกำไรก้อนใหญ่ได้ แต่ในทางกลับกัน มันก็ทำให้เรา ขาดทุนอย่างรวดเร็ว จนเงินที่ฝากไปตอนแรกหมดเกลี้ยง หรืออาจจะเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ ได้เช่นกันครับ

เครื่องมืออย่าง CFD หรือ Futures บน ดัชนีดาวโจนส์ เหมาะกับคนที่เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงสูงได้เท่านั้นนะครับ

**คำแนะนำที่สำคัญมากๆ** สำหรับผู้ที่สนใจเทรด ดัชนีดาวโจนส์ หรือดัชนีอื่นๆ ด้วยตราสารอนุพันธ์ คือ:
1. **ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้:** ทำความเข้าใจกลไกของเครื่องมือที่คุณจะใช้, เลเวอเรจทำงานอย่างไร, ค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นอย่างไร
2. **บริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management):** กำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสมกับเงินทุนของคุณ อย่าทุ่มหมดหน้าตักในไม้เดียว
3. **วางแผนการเงิน (Money Management):** รู้ว่าคุณพร้อมรับการขาดทุนได้แค่ไหน และตั้งเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผล
4. **ใช้เครื่องมือช่วย:** ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เสมอ เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ และอาจพิจารณาใช้จุดทำกำไร (Take Profit) ด้วย

สรุปแล้ว เจ้า Dow Jones คืออะไร มันไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอครับ แต่มันคือภาพรวมของบริษัทชั้นนำ 30 ตัวที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่ส่งอิทธิพลไปทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเราด้วย การเข้าใจ Dow Jones จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาดการเงินโลกได้ดีขึ้น และอาจเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุนครับ

แต่ไม่ว่าจะลงทุนผ่านกองทุน หรือเทรดด้วยตราสารอนุพันธ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจและความระมัดระวัง ครับ จำไว้ว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะเครื่องมือที่มีเลเวอเรจสูงๆ อาจนำมาซึ่งการสูญเสียเงินลงทุนอย่างรวดเร็ว

ศึกษาให้ดี บริหารจัดการความเสี่ยงให้เป็น และลงทุนอย่างมีสติ ก่อนจะลงสนามจริงครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนนะครับ!

Leave a Reply