
เคยไหมครับ? เวลาเปิดแอปข่าวหรือเว็บไซต์การเงิน แล้วเจอตัวเลขวิ่งๆ ของ ดัชนีหุ้นต่างประเทศ อย่าง ดัชนีดาวโจนส์ พุ่งกระฉูด หรือ ดัชนีฮั่งเส็ง ร่วงกราว คุณอาจจะคิดในใจว่า “เอ๊ะ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ? ฉันลงทุนแค่ในตลาดหุ้นไทยนี่นา!”
ถ้าคุณคิดแบบนั้นล่ะก็ ขอบอกเลยว่าคุณกำลังมองข้ามเรื่องสำคัญมากๆ ไปเลยครับ เพราะโลกการเงินทุกวันนี้มันเชื่อมถึงกันหมด ยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติกซะอีก! การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในซีกโลกหนึ่ง อาจจะส่งแรงกระเพื่อมมาถึงกระเป๋าเงินของเราในประเทศไทยได้ง่ายๆ เลยครับ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋า (ที่พยายามจะเล่าให้เข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกัน) จะพาไปทำความรู้จักกับตัวชี้วัดสำคัญๆ ทั่วโลก หรือที่เรียกเก๋ๆ ว่า “ดัชนีหุ้นต่างประเทศ” ว่ามันคืออะไร ทำไมเราควรจะสนใจ และมันบอกอะไรเราได้บ้าง
**ตลาดหุ้นทั่วโลก ใหญ่แค่ไหน? แล้วใครคุมเกม?**
ลองนึกภาพนะครับว่าตลาดทุนโลกนี่มันคือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลมากๆ จากข้อมูลในปี 2023 มหาสมุทรแห่งนี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 109 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ! โอ้โห แค่ตัวเลขก็ตาลายแล้วใช่ไหมครับ? แล้วใครคือพี่ใหญ่สุดในมหาสมุทรนี้ล่ะ? คำตอบคือ “ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา” ครับพี่น้อง! เขาครองส่วนแบ่งตลาดไปกว่า 42.5% แค่ประเทศเดียวก็กินไปเกือบครึ่งแล้ว!
นี่ไงครับคือเหตุผลแรกว่าทำไมเราต้องเหลียวไปมอง ดัชนีหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะของอเมริกา เพราะพี่เบิ้มเขามีอิทธิพลสูงมาก ถ้าพี่เบิ้มจาม ตลาดอื่นอาจมีสิทธิ์เป็นหวัดตามไปด้วย
แน่นอนว่าในแต่ละวัน การเคลื่อนไหวของ ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ทั่วโลกก็ไม่เหมือนกันเป๊ะๆ หรอกครับ บางวันอเมริกาขึ้น ยุโรปนิ่ง เอเชียลง ก็มีให้เห็นบ่อยๆ เหมือนช่วงวันที่ 17-19 เมษายนที่ข้อมูลระบุไว้ บางดัชนีขยับนิดหน่อย บางส่วนพักฐาน หรือบางส่วนก็ปรับตัวลงเล็กน้อย มันก็เป็นความผันผวนระยะสั้นๆ ตามปัจจัยเฉพาะถิ่นและช่วงเวลาครับ แต่ภาพใหญ่ยังไงพี่ใหญ่อย่างอเมริกาก็ยังมีบทบาทนำอยู่ดี
**รู้จักกับ “พี่ใหญ่” แห่ง ดัชนีหุ้นต่างประเทศ: ดัชนีอเมริกา**
พอพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ตัวแทนที่คนทั่วโลกมองตามก็มีอยู่หลักๆ 3 ตัว เหมือนเป็น 3 ขุนพลคู่ใจครับ ได้แก่ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones), ดัชนี S&P 500, และ ดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq) ดัชนีเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องวัดไข้ของเศรษฐกิจอเมริกา และแน่นอนว่าส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก
* **ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones): คุณปู่แห่งวงการ**
ดัชนีตัวนี้เก่าแก่มากๆ ครับ เกิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1896 โน่นแน่ะ (แก่กว่าคุณปู่หลายๆ คนอีกมั้งครับเนี่ย) มันคำนวณมาจากหุ้นของ “บลูชิพ” ขนาดใหญ่ 30 ตัว พูดง่ายๆ คือ 30 บริษัทที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากๆ ในอเมริกา วิธีคำนวณของแกจะแปลกๆ หน่อย คือใช้ “วิธีถ่วงน้ำหนักตามราคา” ไม่ได้ดูขนาดบริษัทเป็นหลัก ทำให้หุ้นตัวไหนที่ราคาต่อหุ้นสูงมากๆ การเปลี่ยนแปลงของราคามันจะส่งผลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นราคาถูก แม้บริษัทหลังจะใหญ่กว่าก็ตาม
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** คุณปู่ดาวโจนส์เป็นดัชนีเก่าแก่ไว้ดูภาพรวมเศรษฐกิจคร่าวๆ แต่ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์แบบนัก เพราะมันดูแค่ 30 บริษัทเองครับ

* **ดัชนี S&P 500: ตัวแทนที่คนส่วนใหญ่เชื่อใจ**
ถ้าดาวโจนส์คือคุณปู่ S&P 500 ก็คือพี่ชายวัยกลางคนที่ทำงานเก่ง เป็นตัวแทนที่คนส่วนใหญ่ในวงการยอมรับว่าเป็นตัวชี้วัดภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีที่สุดครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะมันคำนวณจากหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 ตัว ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ และที่สำคัญคือเขาใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market Capitalization Weighting) ซึ่งก็คือเอาขนาดของบริษัทมาคิดด้วย บริษัทใหญ่ก็มีน้ำหนักในดัชนีมาก ทำให้มันสะท้อนภาพรวมได้ดีกว่า ดัชนี S&P 500 นี้คิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดเลยนะครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ดัชนี S&P 500 คือภาพรวมตลาดหุ้นอเมริกาที่น่าเชื่อถือที่สุดครับ ถ้าจะดูภาพใหญ่ ให้ดูตัวนี้แหละ
* **ดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq): ศูนย์รวมเทคโนโลยีและนวัตกรรม**
เมื่อก่อน ดัชนีแนสแด็ก อาจจะเน้นหุ้นบริษัทเล็กๆ หรือบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะครับ กลายเป็นศูนย์รวมหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet) หรือ Facebook (Meta) ก็อยู่ในนี้แหละครับ แนสแด็กก็ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกัน แต่ก็มีเพดานน้ำหนักเพื่อไม่ให้หุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่มากๆ มาครอบงำดัชนีมากเกินไปครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ถ้าอยากรู้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกเป็นยังไงให้ดูแนสแด็กนี่แหละครับ มันสะท้อนภาพนวัตกรรมและอาจจะมีความผันผวนสูงกว่าเพื่อนหน่อย เพราะหุ้นเทคโนโลยีมักจะหวือหวากว่าหุ้นบลูชิพเก่าๆ ครับ
เห็นไหมครับว่าแค่ในอเมริกาเองก็มี ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ให้ดูหลายแบบ แต่ละแบบก็บอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไป
**มองมาทางเอเชีย: ดัชนีหุ้นจีนและฮ่องกง**
ขยับมาใกล้บ้านเราหน่อย ก็ต้องพูดถึงตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงครับ ตลาดจีนนี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือหุ้นจีนแบ่งออกเป็น “หุ้น A-Shares” ซึ่งเทรดกันในประเทศจีนด้วยเงินหยวน (ตลาดหลักๆ คือ เซี่ยงไฮ้กับเซินเจิ้น) กับ “หุ้น H-Shares” ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทจีนเหมือนกัน แต่มาเทรดกันในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ใช้เงินดอลลาร์ฮ่องกงครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ตลาดฮ่องกงนี่แหละครับคือช่องทางสำคัญที่เรานักลงทุนไทยจะเข้าถึงหุ้นบริษัทจีนใหญ่ๆ ได้ง่ายกว่าการไปเทรดหุ้น A-Shares ในแผ่นดินใหญ่โดยตรงครับ
ตลาดฮ่องกงเองก็มี ดัชนีหุ้นต่างประเทศ สำคัญๆ ที่เราควรจับตาครับ
* **ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index): หน้าต่างสู่ฮ่องกงและจีน**
นี่คือดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงครับ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยคือ เวลาเปิดทำการของตลาดฮ่องกงมันใกล้เคียงกับบ้านเรามากๆ บางทีเราเห็นฮั่งเส็งเปิดตลาดแล้วรู้ว่าขึ้นหรือลง ก็พอจะเอามาเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าได้บ้างครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ฮั่งเส็งเหมือนเพื่อนบ้านที่ตื่นใกล้ๆ กับเรา ถ้าเขาเช็คอินว่าอากาศดี เราก็อาจจะพอเดาได้ว่าอากาศบ้านเราก็น่าจะดีตาม (แต่ไม่เสมอไปนะ!)
* **ดัชนี CSI 300: ตัวแทนหุ้นจีนในแผ่นดินใหญ่**
ดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้น A-Shares 300 ตัว ที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูง ทั้งจากตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นครับ มันสะท้อนภาพรวมของบริษัทจีนที่จดทะเบียนและเทรดกันอยู่ในประเทศเป็นหลัก
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ถ้าอยากดูสุขภาพของบริษัทจีนที่เน้นตลาดในประเทศ ดัชนี CSI 300 คือคำตอบครับ
* **ดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI): หุ้นจีนในฮ่องกง**
ส่วนดัชนี HSCEI นี้ก็จะสะท้อนศักยภาพโดยรวมของหุ้นบริษัทจีนที่เลือกมาเทรดในตลาดฮ่องกงโดยเฉพาะ (พวก H-Shares นั่นแหละครับ)
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** HSCEI คือตัวชี้วัดผลงานของ “ทีมชาติจีน” ที่มาลงแข่งใน “สนามอินเตอร์” อย่างฮ่องกงครับ
**ดัชนีหุ้นต่างประเทศ อื่นๆ ที่น่าสนใจ**

นอกจากพี่ใหญ่อเมริกาและเพื่อนบ้านอย่างจีน-ฮ่องกง ยังมี ดัชนีหุ้นต่างประเทศ สำคัญๆ อีกหลายตัวที่เราควรรู้จักไว้ครับ
* **ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei): ดวงอาทิตย์แห่งญี่ปุ่น**
นี่คือ ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียครับ สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีกประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ถ้ารู้สึกว่าช่วงนี้ข่าวญี่ปุ่นน่าสนใจ เศรษฐกิจดูคึกคัก ลองไปเหล่ๆ ดัชนีนิกเกอิดูครับ
* **ดัชนี FTSE Global 100 (อังกฤษ): ผู้ดีแห่งยุโรป**
ตลาดหุ้นอังกฤษที่คำนวณดัชนีนี้ก็ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ อันดับ 3 ของโลกเลยนะครับ ตลาดที่นี่มีความสำคัญระดับโลกมากๆ ครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** ตลาดอังกฤษก็เป็นอีกผู้เล่นสำคัญบนเวทีโลก อย่ามองข้ามไปนะครับ
* **ดัชนี Straits Times (สิงคโปร์): สิงโตทะเลแห่งการเงิน**
สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียครับ ดัชนี Straits Times ก็สะท้อนสถานะตรงนี้ ตลาดเขามีฐานะการเงินที่มั่นคงและดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติได้ดีครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** สิงคโปร์ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ เป็นฮับการเงินที่น่าจับตาเสมอ
* **MSCI Thailand: “เราก็มีตัวตนบนเวทีโลกนะ!”**
เอ๊ะ! MSCI Thailand นี่มันดัชนีหุ้นไทยนี่นา มาอยู่ในหมวด ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ทำไม? ก็เพราะว่า MSCI เป็นบริษัทจัดทำดัชนีระดับโลกครับ เขาจัดกลุ่มประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน และ MSCI Thailand ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยเราเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมตลาดโลกแล้วนะ มีนักลงทุนต่างชาติที่ใช้ดัชนี MSCI เป็นเกณฑ์ในการลงทุนเยอะแยะเลยครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** MSCI Thailand คือการที่ตลาดหุ้นไทยมีชื่อไปอยู่ใน “ทะเบียนบ้านโลก” ของนักลงทุนต่างชาติครับ
**ไม่ใช่แค่ตัวเลขหุ้น ปัจจัยภายนอกก็สำคัญสุดๆ!**
การดูแค่ตัวเลข ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ขึ้นๆ ลงๆ มันไม่พอหรอกครับ เราต้องเข้าใจด้วยว่าอะไรที่ทำให้มันขยับ? ปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกนี่แหละตัวดีเลย! การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เช่น ใครจะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในประเทศมหาอำนาจ (แบบอเมริกาไงครับ ปีไหนมีการเลือกตั้งนี่ลุ้นกันทั้งโลก), ปัญหาความไม่สงบในประเทศสำคัญๆ, เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยไม่ดี, มีปัญหากับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ทั่วโลก หรือแม้แต่ “สงครามการค้า” ระหว่างประเทศมหาอำนาจ เรื่องพวกนี้ล้วนส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่ไปทั่วโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยเราด้วยครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** การเมืองและเศรษฐกิจต่างประเทศมันเหมือนสายลมครับ ไม่ได้พัดอยู่แค่ที่โน่น แต่มันพัดมาถึงบ้านเราด้วย!
และที่สำคัญสุดๆ เลยก็คือ “เงินทุนต่างชาติ” หรือที่เรียกกันว่า Fund Flow ครับ เงินทุนเหล่านี้เคลื่อนที่เร็วมากๆ พอๆ กับความเร็วแสงเลยมั้งครับ! ถ้ากองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกมองว่าตลาดไหนน่าสนใจ ให้ผลตอบแทนดี เงินจำนวนมหาศาลก็จะไหลเข้าไปในตลาดนั้นอย่างรวดเร็ว ดัชนีหุ้นก็จะพุ่งพรวดๆ ในทางกลับกัน ถ้าเขามองว่าตลาดไหนเริ่มไม่ดี หรือมีที่อื่นน่าสนใจกว่า เงินก็จะไหลออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้ตลาดหุ้นที่เราเห็นมีความผันผวนสูงปรี๊ดได้เลยครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** Fund Flow คือน้ำมันที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นโลกครับ น้ำมันไปทางไหน รถก็ไปทางนั้น! นักลงทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกเขาจะมองหาที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเสมอครับ
**แล้วนักลงทุนไทยอย่างเรา ควรทำยังไงดีล่ะ?**
พอรู้แล้วว่าโลกมันเชื่อมกันขนาดนี้ การที่เราจะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่างเน็ดขาดไปเลยโดยไม่มองรอบๆ นี่ก็เหมือนกับการขับรถไปต่างจังหวัดโดยไม่ดูแผนที่ ไม่เช็คสภาพอากาศเลยครับ สมัยนี้การวิเคราะห์การลงทุนต้องมองภาพใหญ่ครับ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไทยอย่างเดียว ต้องดูเศรษฐกิจโลก ประเทศมหาอำนาจ และประเทศคู่ค้าของเราด้วย
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** นักลงทุนไทยควร “เงยหน้า” ออกไปมอง ดัชนีหุ้นต่างประเทศ บ้างครับ เพื่อประเมินว่าตอนนี้ลมพัดไปทางไหน เศรษฐกิจโลกเป็นยังไง นักลงทุนทั่วโลกเขากำลังคิดอะไรอยู่ (ดูจากจิตวิทยาการลงทุนผ่านการเคลื่อนไหวของดัชนีนี่แหละครับ) เอาข้อมูลพวกนี้มาประกอบการตัดสินใจลงทุนของเราครับ
การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศโดยตรงก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ในปัจจุบันครับ เพราะมันช่วย “กระจายความเสี่ยง” ได้ดี ถ้าตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดี ตลาดหุ้นต่างประเทศบางแห่งอาจจะกำลังไปได้สวย ทำให้พอร์ตการลงทุนของเราไม่พังไปทั้งหมดครับ แถมยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนในอนาคตจากบริษัทระดับโลกที่เราเข้าไม่ถึงในตลาดหุ้นไทยด้วย
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** การกระจายเงินไปลงทุนต่างประเทศก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้หลายๆ ชนิดในสวนครับ ถ้าต้นนี้ไม่โต ต้นโน้นอาจจะออกดอกออกผลให้เราเก็บได้ครับ

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนในไทยอย่างเดียว หรือจะแบ่งเงินไปลงทุนใน ดัชนีหุ้นต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความรู้” ครับ! ต้องขยันหาข้อมูล ติดตามข่าวสารอย่างทันท่วงที (สมัยนี้มีแอปมีเว็บไซต์ให้ติดตามเพียบ ไม่ต้องไปนั่งเฝ้าหน้าจอโบรกเกอร์ทั้งวันเหมือนสมัยก่อนแล้วครับ) และที่สำคัญคือต้องหมั่น “ทบทวนกลยุทธ์” การลงทุนของเราให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาครับ
**ข้อสรุปแบบบ้านๆ:** การลงทุนระดับโลกมันก็เหมือนการเดินทางผจญภัยครับ ต้องมีแผนที่ (ความรู้), เข็มทิศ (การติดตาม), และต้องพร้อมปรับแผนการเดินทาง (ปรับกลยุทธ์) อยู่เสมอครับ
**💡 เกร็ดน่ารู้:** ในการลงทุนในตลาดต่างประเทศโดยตรง นักลงทุนอาจพิจารณาใช้บริการแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศครับ เช่น แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets เป็นต้น ซึ่งมักจะเสนอเงื่อนไขการซื้อขายและเข้าถึงตลาดหลากหลายรูปแบบให้นักลงทุนเลือกใช้ครับ (หมายเหตุ: เป็นเพียงตัวอย่างแพลตฟอร์ม ไม่มีเจตนาชี้ชวนหรือแนะนำเป็นการเฉพาะ)
⚠️ **คำเตือนท้ายบท:** การลงทุนในหุ้นหรือ ดัชนีหุ้นต่างประเทศ มีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินธรรมดามากๆ ครับ ตลาดต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเข้ามาด้วย ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองเสมอครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีเงินทุนสำรองสภาพคล่อง (เงินสดที่จำเป็นสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน) ไม่สูงมากนัก ควรประเมินให้ดีมากๆ ก่อนนำเงินส่วนนั้นไปลงทุนในตลาดต่างประเทศครับ