ไขรหัสลับกราฟ SET50: อ่านเกมหุ้นแม่นยำ สร้างกำไรยั่งยืน

เคยไหมครับ? เปิดแอปฯ ดูหุ้นแล้วเห็นตัวเลขแดงๆ เขียวๆ เต็มไปหมด จนตาลายไปหมด แล้วไอ้ที่เขาพูดถึงกันบ่อยๆ อย่าง ‘SET50’ เนี่ย มันคืออะไรกันนะ? แล้วทำไมคนถึงต้องดูกราฟ (กราฟset50) ของมันด้วย? วันนี้ในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ จะชวนทุกคนมาคุยกันเรื่องนี้แบบชิลๆ เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนเลยครับ

ลองนึกภาพ SET50 เหมือนเป็น ‘ตัวแทน’ หรือ ‘หัวหน้าห้อง’ ของหุ้นใหญ่ๆ ที่มีสภาพคล่องสูง 50 ตัวแรกในประเทศไทยนะ หุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดีนั่นแหละ การเคลื่อนไหวของ กราฟset50 เลยเป็นเหมือนการ ‘วัดไข้’ สภาพเศรษฐกิจของประเทศแบบคร่าวๆ ได้เลยนะว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยโดยรวมเป็นยังไง คึกคักหรือซึมๆ

แล้วไอ้การดูกราฟ (กราฟset50) มันช่วยอะไรเราได้ล่ะ? นี่แหละคือที่มาของการ ‘วิเคราะห์ทางเทคนิค’ (Technical Analysis) ที่หลายคนใช้กัน เขาเชื่อว่าทุกอย่างที่เราควรรู้เกี่ยวกับหุ้นหรือดัชนีนั้นๆ มันสะท้อนออกมาใน กราฟset50 หมดแล้ว ทั้งเรื่องราคา ปริมาณการซื้อขาย หรือแม้แต่อารมณ์ของตลาดโดยรวม

ถ้าลองไปดูข้อมูลเก่าๆ อย่างช่วงต้นเดือน เม.ย. 2568 จะเห็นว่า กราฟset50 ก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ทั้งในวัน ทั้งเปิดสูง ปิดต่ำ สลับกันไป ราคาก็ขยับตั้งแต่ประมาณ 737 จุด ไปจนถึง 744 จุดเลยทีเดียว ปริมาณการซื้อขายในวันนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ นะ ทะลุ 1.7 ล้านพันหุ้น มูลค่าก็กว่า 2.7 หมื่นล้านบาท นี่แสดงให้เห็นว่าตลาดมีการซื้อขายที่คึกคักพอสมควรเลยในวันนั้นๆ

ใน กราฟset50 เนี่ย ไม่ได้มีแค่เส้นขึ้นๆ ลงๆ นะ แต่เราสามารถเลือกดูแบบ ‘กราฟแท่งเทียน’ (Candlestick Chart) หรือ ‘กราฟแท่ง’ (Bar Chart) ได้ด้วย กราฟพวกนี้จะบอกข้อมูลสำคัญๆ ในแต่ละช่วงเวลาที่เราเลือก เช่น ราคาเปิด (Open Price), ราคาสูงสุด (High Price), ราคาต่ำสุด (Low Price) และราคาปิด (Close Price) ลองสังเกตดีๆ แท่งเทียนแต่ละแท่งมีเรื่องราวของมันเองนะ บางทีแท่งยาวๆ ก็บอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เยอะในวันนั้นๆ

สำหรับคนที่ชอบซื้อๆ ขายๆ เร็วๆ หรือที่เรียกว่า ‘เทรดระยะสั้น’ (Short-Term Trading) ก็อาจจะต้องซูมเข้าไปดู กราฟset50 ในช่วงเวลาที่สั้นลงมากๆ เช่น กราฟ 5 นาที หรือ 10 นาที (Time Frame 5 or 10 minutes) เพื่อดูการเคลื่อนไหวของราคาแบบละเอียดยิบ เหมือนดูหนังแบบ Slow Motion เลย แต่ถ้าใครชอบลงทุนยาวๆ หน่อย ก็อาจจะดูกราฟรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) แทน

นอกจากรูปทรงของแท่งเทียนใน กราฟset50 แล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่เรียกว่า ‘อินดิเคเตอร์’ (Indicator) เอามาช่วยวิเคราะห์อีกเพียบเลย เครื่องมือพวกนี้ก็มีหลายแบบ ทั้งกลุ่ม ‘ออสซิลเลเตอร์’ (Oscillators) หรือ ‘ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่’ (Moving Averages) อะไรพวกนี้ ชื่ออาจจะฟังดูยาก แต่หลักๆ คือมันช่วยคำนวณค่าต่างๆ จากข้อมูลราคา แล้วสร้างเป็นเส้นหรือกราฟอีกอันมาแสดงสัญญาณให้เราดู เช่น บอกว่าตอนนี้ตลาดดูมีแรงซื้อเยอะนะ หรือแรงขายเริ่มมาแล้วนะ

แต่ต้องบอกก่อนว่า อินดิเคเตอร์พวกนี้ก็ไม่ใช่ไม้เท้าวิเศษนะ บางทีมันก็ให้สัญญาณผสมๆ กันไป เหมือนที่ข้อมูลวิเคราะห์บอกว่าสำหรับ SET50 Index สัญญาณจากอินดิเคเตอร์มันก็มีทั้งเป็นกลาง มีแรงขาย มีแรงซื้อ สลับๆ กันไปเลย การใช้อินดิเคเตอร์จึงควรใช้ประกอบกันหลายๆ ตัว และใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แบบอื่นๆ ด้วยนะ

อีกตัวนึงที่คนที่เทรด SET50 Index Futures (SET50 Index Futures) ในตลาด TFEX (Thailand Futures Exchange) ชอบดูกัน คือ ‘สถานะคงค้าง’ หรือที่เรียกว่า ‘Open Interest’ (Open Interest) ตัวนี้จะบอกว่ามีจำนวนสัญญา SET50 Index Futures ที่เปิดสถานะซื้อขายเอาไว้แต่ยังไม่ได้ปิดสถานะทั้งหมดกี่สัญญา ลองนึกภาพว่า Open Interest คือจำนวน ‘คู่สัญญา’ ที่ยังไม่ได้ปิดสถานะทั้งหมดในตลาดนะ

ถ้า Open Interest เพิ่มขึ้นมากๆ ก็แสดงว่ามีผู้เล่นรายใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในตลาด SET50 Index Futures เยอะ ทำให้เทรนด์อาจจะแข็งแรงขึ้น เพราะมีเงินใหม่ๆ ไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่ถ้า Open Interest ลดลง แปลว่าคนกำลังปิดสถานะออกไป อาจจะทำกำไร หรือตัดขาดทุน ทำให้จำนวนคู่สัญญาที่เปิดอยู่ลดลง เทรนด์ปัจจุบันก็อาจจะเริ่มอ่อนแรงลงได้ เหมือนคนกำลังทยอยเก็บของออกจากตลาดนั่นแหละ

แต่ถ้าอยากดู Open Interest บน กราฟset50 ในโปรแกรมเทรด ส่วนใหญ่จะดูได้แค่ Time Frame แบบ ‘รายวัน’ (Day Time Frame) เท่านั้นนะ เพราะข้อมูลพวกนี้จะอัปเดตหลังจากตลาดปิดในแต่ละวัน

การเทรด SET50 Index Futures เนี่ย มันมี ‘อัตราทด’ (Leverage) ที่สูงกว่าหุ้นธรรมดามากๆ แปลว่าแค่ กราฟset50 ขยับนิดเดียว ผลกำไรขาดทุนของเรามันจะขยับเยอะตามไปด้วย ซึ่งก็คือ ‘ความเสี่ยง’ (Risk) ที่สูงขึ้นนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการดูกราฟ (กราฟset50) ถึงสำคัญมากๆ สำหรับคนที่เทรดฟิวเจอร์ส เพราะมันช่วยในการหาจังหวะเข้า-ออกที่ดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะแม่นยำ 100% เสมอไปนะ

ทีนี้ ถ้าใครรู้สึกว่าการดูกราฟ (กราฟset50) แบบเรียลไทม์ หรือการเทรด Futures ที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ มันดูยุ่งยากไปหน่อย ก็ยังมีอีกทางเลือกคือ ‘กองทุนรวม’ (Mutual Funds) ที่ลงทุนอิงกับดัชนี SET50 โดยตรงเลยนะ กองทุนพวกนี้จะไปลงทุนในหุ้น 50 ตัวแรกตามน้ำหนักในดัชนี SET50 นั่นแหละ อย่างกองทุน K-SET50 หรือ SCBSET50 ที่เราเห็นข้อมูลอยู่ในตลาด ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน กราฟ ผลตอบแทน หรือค่าธรรมเนียมของกองทุนพวกนี้ได้

แน่นอนว่าการลงทุนในกองทุนก็มีความเสี่ยงนะ ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมพวกนี้มีการคำนวณตามมาตรฐานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเลย แต่เราต้องเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนว่า ‘ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคตนะจ๊ะ!’ เหมือนดูพยากรณ์อากาศนั่นแหละ บอกได้ว่าเมื่อวานแดดออก แต่วันนี้ฝนอาจจะตกก็ได้

สรุปแล้ว การดูกราฟ (กราฟset50) เป็นเครื่องมือสำคัญมากๆ สำหรับคนที่สนใจลงทุนใน SET50 ไม่ว่าจะเป็นทางตรง (ซื้อหุ้นรายตัวใน SET50) ทางอ้อม (ลงทุนในกองทุน SET50) หรือผ่านตลาดอนุพันธ์ (เทรด SET50 Index Futures) มันช่วยให้เราเห็นภาพการเคลื่อนไหวของตลาด เห็นพฤติกรรมของราคา และใช้เครื่องมือต่างๆ มาช่วยในการตัดสินใจ

ถ้าเพิ่งเริ่มต้น ลองเริ่มจากการดูกราฟแบบง่ายๆ ก่อน ทำความเข้าใจพื้นฐานของกราฟแท่งเทียนหรือกราฟแท่ง ลองดูกราฟใน Time Frame ต่างๆ แล้วค่อยๆ ศึกษาเครื่องมือ อินดิเคเตอร์ หรือข้อมูลอย่าง Open Interest เพิ่มเติมนะ จำไว้ว่าไม่มีเครื่องมือไหนแม่นยำสมบูรณ์แบบ การเรียนรู้และฝึกฝนเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น

⚠️ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงทุนในทุกรูปแบบมีความเสี่ยงสูงมากๆ โดยเฉพาะการใช้ ‘มาร์จิ้น’ (Margin) หรือการเทรดอนุพันธ์ที่มี ‘อัตราทด’ (Leverage) สูงๆ เหมือนเราเอาเงินน้อยไปคุมของใหญ่ ถ้าผิดทางก็เจ็บหนักได้เลยนะ ข้อมูลราคา กราฟset50 หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ อาจจะไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ ด้วยซ้ำ บางทีก็เป็นราคาที่ได้มาจากแหล่งอื่น ไม่เหมาะกับการเอาไปใช้ตัดสินใจซื้อขายทันที

ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความเสี่ยง’ (Risk) ให้ดีมากๆ ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ และการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองให้ถ่องแท้ และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตได้เลยนะ อย่าลงทุนตามกระแส หรือตามเพื่อนโดยไม่ศึกษาข้อมูลเองเด็ดขาด!

Leave a Reply