
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางวันเพื่อนที่เล่นหุ้นไทยก็ยิ้มแก้มปริ แต่อีกคนที่ลงทุนในต่างประเทศกลับบ่นว่าพอร์ตแดงเถือก หรือบางทีก็สลับกัน? นั่นเพราะโลกของการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องของ `ราคาหุ้นต่างประเทศ` เนี่ย มันซับซ้อนและมีจังหวะของตัวเองเหมือนการเต้นรำที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกก็เหมือนกับสภาพอากาศ มีทั้งวันฟ้าใส แดดจ้า บางวันก็มีเมฆมาก หรือบางทีก็เจอพายุเข้าแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งข้อมูลที่เราได้มาล่าสุด (อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น สำนักข่าวอินโฟเควสท์ และข้อมูลดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก) ก็ยืนยันเลยว่าภาวะตลาดหุ้นโลกช่วงนี้มันก็มีความหลากหลายสุดๆ บางดัชนีอย่าง S&P Global 100 (ที่รวมเอาบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก), FTSE Global 100 หรือแม้แต่ตลาดหุ้นในเอเชียอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย รวมถึงบ้านเราอย่างตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วงวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมาก็ปิดบวกไปบ้าง แสดงถึงแรงซื้อกลับเข้ามา โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ๆ ในไทยดูจะมีแรงเก็งกำไรท้ายตลาด แต่พอมาดูข้อมูล ณ เวลาล่าสุด ดัชนี SET กลับปรับตัวลงเล็กน้อย สะท้อนถึงการแกว่งตัวที่ยังคงมีอยู่
ในขณะเดียวกัน `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ในบางภูมิภาคก็ดูจะซึมๆ หรือปรับตัวลง อย่างดัชนีหุ้นในยุโรปบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี หรือแม้แต่ในเอเชียอย่างฟิลิปปินส์ ตุรกี โอมาน กาตาร์ ก็เห็นการปรับฐานลง ส่วนดัชนีอื่นๆ อย่าง STOXX 600 (ที่ครอบคลุมหุ้นยุโรป 600 ตัว) หรือดัชนีในบางประเทศอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ สวีเดน กลับดูนิ่งๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงเวลาที่รายงานข้อมูล นี่แหละครับคือเสน่ห์และความปั่นป่วนของตลาดโลกที่เราต้องทำความเข้าใจ

แล้วอะไรล่ะที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ `ราคาหุ้นต่างประเทศ` และตลาดหุ้นทั่วโลกมันเคลื่อนไหวไปมาแบบนี้? หลักๆ เลยก็มีหลายปัจจัยประดังเข้ามาครับ หนึ่งในนั้นคือเรื่อง “การเจรจาการค้า” ระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าต่างๆ ความหวังว่าการเจรจาจะมีความคืบหน้าก็เป็นข่าวดีที่ดันให้ตลาดหลายแห่งปรับขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความไม่แน่นอนหรือข่าวที่ออกมาไม่ดีก็เป็นแรงกดดันให้ตลาดบางแห่งปรับลงได้เหมือนกัน
นอกจากเรื่องการค้าแล้ว “ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน” ก็สำคัญมากๆ ครับ บริษัทไหนประกาศงบออกมาดีกว่าที่คาด หุ้นก็จะถูกนักลงทุนไล่ซื้อ ทำให้ราคาหุ้นและดัชนีปรับขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าแย่กว่าที่คิด ก็อาจโดนเทขายลงมาได้ อีกปัจจัยใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “นโยบายการเงิน” ครับ การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศมีผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงิน ซึ่งกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างจัง อย่างในไทยเอง นักลงทุนก็จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อย่างใกล้ชิด ส่วนที่ออสเตรเลีย ตลาดหุ้นดูจะคึกคักขึ้นมาบ้างจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางของเขาอาจจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต
ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันครับ ตัวเลขสำคัญๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากๆ ก็เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI (Purchasing Managers’ Index) ของประเทศใหญ่อย่างจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของภาคการผลิตและบริการ ถ้าตัวเลขออกมาดีก็แปลว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้สวย ตลาดหุ้นจีนก็มักจะตอบรับในเชิงบวก ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดในภูมิภาคเอเชียด้วย เพราะขนาดเศรษฐกิจและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีน้ำหนักมากจริงๆ ครับ
ทีนี้มาเจาะลึกเรื่อง `ราคาหุ้นต่างประเทศ` โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ กันบ้างครับ ดัชนีที่หลายคนจับตามากคือ ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ซึ่งเป็นการรวมเอาหุ้นของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มาไว้ด้วยกัน เปรียบเสมือนบารอมิเตอร์ที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี ข้อมูลจากปี 2023 (ตามข้อมูลที่อ้างอิงจาก FINNOMENA และ TradingView) แสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจมากครับ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำหลายตัวราคาปรับขึ้นอย่างโดดเด่นมากๆ สวนทางกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ที่อาจจะปรับตัวลงไปบ้าง นี่แสดงให้เห็นถึงเทรนด์และธีมการลงทุนที่เกิดขึ้นในตลาดโลกช่วงนั้น

หลายคนอาจจะสงสัยว่า “แล้วคนไทยธรรมดาๆ อย่างเราจะไปลงทุนใน `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ได้ยังไงล่ะ?” ไม่ยากอย่างที่คิดครับ ตอนนี้มีช่องทางหลากหลายให้เลือกเลยครับ ทั้งการลงทุนตรงผ่านแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง เช่น Global Trade Master ที่ให้ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เวียดนาม หรือแพลตฟอร์มอย่าง Dime! ที่ให้เราลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ได้สะดวกขึ้น จะใช้เงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ได้ แถมบางทียังมีโปรโมชั่นค่าธรรมเนียมด้วยนะครับ หรือถ้าใครยังไม่อยากไปลงทุนตรง ก็มีช่องทางทางอ้อมที่เรียกว่า ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR01 (ดีอาร์ศูนย์หนึ่ง) ที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทยนี่แหละครับ เปรียบเสมือนเราได้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดบ้านเรานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีบริการจัดการเงินหลายสกุลอย่าง Wise ที่ช่วยให้การแลกเปลี่ยนเงินเพื่อนำไปลงทุนในต่างประเทศสะดวกและอาจได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้นด้วย
แต่การลงทุนใน `ราคาหุ้นต่างประเทศ` มันก็เหมือนการเดินทางข้ามประเทศครับ ไม่ใช่แค่ขึ้นเครื่องแล้วถึงเลย มันมีรายละเอียดที่ต้องรู้และมี “ค่าใช้จ่าย” แฝงอยู่ด้วยนะครับ นอกจากค่าคอมมิชชันในการซื้อขายแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เรียกเก็บโดยตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้นๆ หรือหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งโครงสร้างค่าธรรมเนียมก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม อย่างแพลตฟอร์ม Dime! ก็มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ระบุไว้ชัดเจน ซึ่งนักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน” ที่สำคัญมากๆ ครับ เพราะถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ใช้สกุลเงินต่างประเทศ แล้วค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่เราไปลงทุน แม้ `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ที่เราถือจะขึ้น แต่พอกลับมาแปลงเป็นเงินบาท มูลค่าที่เราได้ก็อาจจะไม่ได้มากเท่าที่ควร หรืออาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนก็ได้ครับ
ดังนั้น ก่อนจะกระโดดเข้าสู่โลกของ `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ผู้เขียนในฐานะคอลัมนิสต์การเงินขอเตือนด้วยความหวังดีว่า “ความเสี่ยง” เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ การซื้อขายตราสารทางการเงินทุกประเภท รวมถึงหุ้นต่างประเทศ มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ไม่ใช่การลงทุนที่เหมาะกับทุกคน ข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้ดู `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ก็ควรใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการเงินโดยตรง และที่สำคัญคือข้อมูลราคาที่เราเห็นบนแพลตฟอร์มฟรีๆ อาจไม่ใช่ราคาแบบเรียลไทม์ หรืออาจมีดีเลย์ได้ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการซื้อขายที่ต้องการความแม่นยำสูงๆ
⚠️ **ข้อแนะนำปิดท้าย:** หากคุณเป็นมือใหม่หรือยังมีประสบการณ์ไม่มาก การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่แค่กระจายในประเทศ แต่รวมถึงการพิจารณา `ราคาหุ้นต่างประเทศ` ที่หลากหลาย ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งลงทุนในสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจ และจำไว้เสมอว่า “เงินลงทุนอาจสูญเสียทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน” ครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการเดินทางในโลกของการลงทุนนะครับ!