ไขความลับ “ดาวโจนส์ดูยังไง” ทำกำไรในตลาดผันผวน!

เคยไหมครับที่เห็นข่าว “ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก…” หรือ “ดาวโจนส์ร่วง…” แล้วแอบงงในใจว่า “เจ้าดาวโจนส์” ที่ว่านี้มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมตัวเลขนี้ถึงสำคัญจัง? ยิ่งช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองก็ดูจะสวิงไปมาซะเหลือเกิน คำถามที่ว่า “ดาวโจนส์ดูยังไง” หรือจะทำความเข้าใจมันได้ง่ายๆ ยังไง เลยกลายเป็นประเด็นที่หลายคนอยากรู้

ถ้าจะให้เล่าแบบเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ต้องกลัวศัพท์ยาก เรามาลองแกะกล่องดูพร้อมๆ กันว่าช่วงนี้ ดาวโจนส์กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องอะไรบ้าง ทำไมมันถึงขยับแบบนั้น แล้วเราในฐานะคนที่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ควรจะมองประเด็นพวกนี้ยังไงดี

ช่วงที่ผ่านมา ต้องบอกว่า ดัชนีดาวโจนส์ (หรือชื่อเต็มๆ ว่า Dow Jones Industrial Average – DJIA) รวมถึงพี่น้องร่วมตลาดอย่าง S&P500 และ Nasdaq ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เห็นตัวเลขปิดบวกต่อเนื่องหลายวัน อย่างเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดาวโจนส์ก็ปิดที่ 42,654.74 จุด เพิ่มขึ้นมาถึง 331.99 จุด หรือคิดเป็น 0.78% ในวันเดียว และถ้ามองภาพรวมทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา (จนถึง 16 พฤษภาคม) ดัชนีนี้ก็ปรับขึ้นไปถึง 3.4% เลยทีเดียว

อะไรคือแรงส่งให้ ดาวโจนส์ บินสูงขึ้นได้ขนาดนี้? ตัวจุดพลุใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้น “ข่าวดี” เรื่องการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ สหรัฐฯ กับจีน ที่ดูเหมือนว่าจะตกลง “สงบศึก” สงครามการค้ากันชั่วคราวได้สำเร็จเป็นเวลา 90 วัน ข่าวนี้เหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจนักลงทุนทั่วโลก ทำให้ความวิตกกังวลต่างๆ คลี่คลายลงไปเยอะ นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีเรื่องข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรอีกหนึ่งเรื่อง และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆ หลายแห่งในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาแล้วดูดีกว่าที่คาด ก็ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นโดยรวมมีบรรยากาศเชิงบวกขึ้นไปอีก

แต่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีๆ นะครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนชีวิต มีขึ้นมีลง สลับกันไปมา ช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ก็มีข่าวที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต้องสะดุดอยู่เหมือนกัน อย่างข่าวใหญ่ที่ทำให้เสียวสันหลังวาบก็คือ การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดังระดับโลกอย่าง Moody’s (มูดี้ส์) ประกาศลดอันดับเครดิตระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับสูงสุด Aaa สู่ระดับ Aa1 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม สาเหตุหลักๆ ที่ Moody’s ให้เหตุผลก็มาจากภาระ “หนี้สาธารณะ” ของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงปรี๊ดไปแตะระดับกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว! ไหนจะภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และการขาดดุลงบประมาณที่ยังน่ากังวล ซึ่งประเด็นเหล่านี้สะท้อนถึงความท้าทายทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะยาว

แม้ข่าวการลดอันดับเครดิตนี้จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ในช่วงสั้นๆ แต่กูรูและนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่า ตลาดรับรู้ประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มาพักใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงมีการลดอันดับจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้ตลาดตกใจมากนักเท่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเมืองภายในสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา อย่างร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีบางฉบับที่ยังไม่สามารถผ่านสภาคองเกรสไปได้ ก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอนเชิงนโยบายที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในอนาคตได้เช่นกัน

เวลาที่ “ดาวโจนส์ดูยังไง” หรือตลาดหุ้นโดยรวมมีข่าวดีข่าวร้าย สินทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจเดียวกันก็มักได้รับอานิสงส์หรือผลกระทบไปด้วย อย่างในช่วงที่ความกังวลเรื่องสงครามการค้าคลี่คลายลง เราก็จะเห็น “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาคึกคัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น แม้จะมีปัจจัยเรื่องอุปทานจากอิหร่านหรือกลุ่มโอเปกพลัสเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม ในทางกลับกัน “ราคาทองคำ” ซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ที่คนจะแห่ไปถือในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือมีวิกฤต กลับปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำก็ปิดลบ และเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบหลายเดือน นั่นก็เพราะความกังวลในตลาดลดน้อยลงไปนั่นเอง

ส่วน “เงินดอลลาร์สหรัฐฯ” เองก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้ว ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจบางตัวของสหรัฐฯ ที่ออกมาดี เช่น ราคานำเข้าที่กลับมาฟื้นตัว ถึงแม้ว่าตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนสำรวจจะลดลงในเดือนพฤษภาคม และการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคจะยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม

ทีนี้ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า แล้วเจ้า “ดัชนีดาวโจนส์” ที่พูดถึงเนี่ย มันคืออะไรกันแน่? ง่ายๆ เลยนะครับ มันคือ “ดัชนีหุ้น” ตัวแรกๆ ที่มีการสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวชี้วัดหรือ “ตัวแทน” บอกทิศทางภาพรวมของตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค้นโดย Charles Dow (คนเดียวกับที่ตั้งชื่อดัชนี S&P500 และทำ Wall Street Journal) ถึงชื่อจะมีคำว่า “อุตสาหกรรม” แต่ในปัจจุบัน หุ้น 30 ตัวที่อยู่ในดัชนีนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทภาคอุตสาหกรรมหนักๆ อย่างเดียวแล้วนะครับ แต่ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักดีในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เทคโนโลยี หรือการเงิน ทำให้มันสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวงกว้างพอสมควร

คำถามต่อมาที่คนอยากรู้คือ “ดาวโจนส์ดูยังไง” หรือจะลงทุนกับมันได้ไหม? ต้องบอกว่า เราไม่สามารถ “ซื้อ” ตัวดัชนี ดาวโจนส์ ได้โดยตรงนะครับ เพราะมันเป็นแค่ตัวเลขที่ใช้อ้างอิง แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่อิงกับดัชนีนี้ได้ เช่น ซื้อขาย “ดัชนีดาวโจนส์ Futures” ซึ่งเป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่จำลองผลตอบแทนของดัชนี หรือจะเลือก “ซื้อหุ้นรายตัว” ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีเลยก็ได้ เช่น หุ้นบริษัทดังๆ ที่อยู่ในดัชนี เช่น Microsoft (แนสแด็ก:MSFT), Walmart (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก:WMT), หรือแม้แต่บริษัทอย่าง UnitedHealth Group (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก:UNH) ในกลุ่ม Healthcare ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีพอสมควร อย่างที่เคยมีข่าวซีอีโอลาออกแล้วราคาหุ้นปรับลงไปบ้าง ก็ส่งผลกระทบต่อดัชนีได้เหมือนกัน ในทางกลับกัน หุ้นอย่าง Walmart ที่ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนโดดเด่น (+59.59% ในช่วงข้อมูลหนึ่งปี) ก็เป็นปัจจัยหนุนดัชนีได้ ส่วนหุ้นอย่าง Nike (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก:NKE) ที่เผชิญแรงกดดัน (-39.07% ในช่วงข้อมูลหนึ่งปี) ก็เป็นตัวฉุดได้เช่นกัน

แล้วแนวโน้มต่อไปล่ะ? “ดาวโจนส์ดูยังไง” ในช่วงข้างหน้านี้? สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกยังคงจับตากันอย่างใกล้ชิดก็คือ ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลักๆ โดยเฉพาะจีน หลังการสงบศึกชั่วคราว 90 วันนี้จะนำไปสู่ข้อตกลงที่ยั่งยืนได้หรือไม่ เพราะรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ เองก็ยังระบุว่าหากประเทศคู่ค้าหลักๆ (ที่ระบุไว้ 18 ประเทศ) ไม่ยอมเจรจาอย่างจริงจัง สหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตามที่เคยประกาศไว้ ซึ่งประเด็นเรื่องภาษีนี้ยังคงเป็นดาบสองคมที่อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดได้เสมอ นอกจากนี้ เรื่องภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ Moody’s เพิ่งลดอันดับเครดิตไป ก็ยังคงเป็นประเด็นระยะยาวที่ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการจัดการอย่างไร รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะทยอยประกาศออกมา เช่น อัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขการจ้างงาน ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หรือความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก็จะมีผลต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการตัดสินใจของนักลงทุนโดยรวม

กูรูมองว่า ตราบใดที่ยังมีปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าด้านการค้าและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังดูดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็น่าจะยังประคองตัวหรือมีโอกาสปรับขึ้นต่อไปได้ แต่ก็ต้องไม่ประมาทกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอจากข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด อย่างการลดอันดับเครดิต หรือความตึงเครียดทางการค้าที่อาจกลับมาอีกครั้ง

สรุปแล้ว การที่ “ดาวโจนส์” และตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขึ้นหรือลงนั้น ไม่ได้มีปัจจัยเดียว แต่มาจากหลายๆ เรื่องผสมผสานกันไป ทั้งเรื่องข้อตกลงการค้า การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล ตัวเลขเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท หรือแม้แต่ข่าวเฉพาะบริษัทอย่างกรณีของ Novavax ที่หุ้นพุ่งแรงจากการที่ FDA (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ) อนุมัติการใช้วัคซีน ก็สะท้อนว่าข่าวดีเฉพาะบริษัทก็มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนได้เช่นกัน

⚠️ **ข้อควรทราบและข้อควรระวังอย่างยิ่ง:** การลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงการซื้อขายตราสารทางการเงินต่างๆ ที่อิงกับดัชนีอย่าง ดาวโจนส์ มีความเสี่ยง “สูงมาก” คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ง่ายๆ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ผันผวนรุนแรง ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้และคาดไม่ถึง การซื้อขายด้วยมาร์จิน (การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อ) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนทวีคูณ

ก่อนตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือใดๆ ก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ทั้งค่าธรรมเนียมต่างๆ และความเสี่ยงจากความผันผวน และถ้าไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่มีใบอนุญาต ไม่ควรลงทุนตามข่าวลือ หรือข้อมูลที่ไม่ได้มีการตรวจสอบ และโปรดจำไว้ว่า ข้อมูลราคาหรือข่าวสารที่เราเห็นตามแหล่งต่างๆ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือเป็นเพียงราคาชี้นำจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ไม่ใช่ราคาจากตลาดหลักทรัพย์โดยตรง ซึ่งข้อมูลประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับการนำไปใช้อ้างอิงเพื่อการซื้อขายจริง และอาจไม่แม่นยำเสมอไป

ดังนั้น การติดตาม “ดาวโจนส์ดูยังไง” จึงไม่ใช่แค่ดูตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ แต่เป็นการทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อนโลกการเงินอยู่ครับ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงเสมอ ก่อนตัดสินใจนำเงินไปลงทุนในตลาดที่ผันผวนแห่งนี้.

Leave a Reply