
เคยไหมครับ/คะ เวลาอ่านข่าวเศรษฐกิจ หรือคุยกับเพื่อนเรื่องหุ้น แล้วเจอตัวอักษร “S&P” นี่? แวบแรกในหัว อาจจะมีภาพเค้กอร่อยๆ ขนมไหว้พระจันทร์หอมๆ หรือข้าวไก่อบในตำนานลอยมา… อ๊ะๆ แต่เดี๋ยวก่อน! ในโลกของการเงิน การลงทุน โดยเฉพาะข่าวต่างประเทศ “S&P” เนี่ย มีความหมายที่กว้างกว่านั้นเยอะเลยนะ แล้วจริงๆ แล้ว s&p ย่อมาจาก อะไรกันแน่ มีกี่ความหมาย แล้วแต่ละอย่างสำคัญกับเรายังไงบ้าง วันนี้ผมในฐานะเพื่อนร่วมทางในโลกการเงิน (ที่ชอบกินเค้ก S&P ด้วย) จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ครับ
เรื่องของ “S&P” เนี่ย มันเหมือนมีสองเรื่องราวที่ชื่อพ้องกันอยู่ในโลกคู่ขนานเลยนะ เรื่องแรก เป็นเรื่องของยักษ์ใหญ่แห่งวงการการเงินระดับโลก กับอีกเรื่องคือแบรนด์อาหารและเบเกอรี่ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ลองมาดูกันทีละเรื่องครับ
**“S&P” ตัวแรก: ยักษ์ใหญ่การเงินจากอเมริกา (**Standard & Poor’s**)** และดัชนี S&P 500**
เวลาเราเห็นข่าวต่างประเทศพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ตัวย่อ “S&P” ที่โผล่มาบ่อยๆ เนี่ย ส่วนใหญ่มักจะหมายถึง บริษัท **Standard & Poor’s** (ชื่อเต็มๆ คือ Standard & Poor’s Financial Services LLC) ครับ บริษัทนี้เป็นบริษัทบริการทางการเงินชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่คอยปล่อยงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลการเงิน ให้ทั่วโลกได้รู้ได้เห็น สำนักงานใหญ่อยู่ที่มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ นี่แหละ
แล้ว s&p ย่อมาจาก ในบริบทนี้คืออะไร? จริงๆ แล้วมันมีที่มาจากการควบรวมกิจการของสองบริษัทเก่าแก่ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุคเกือบร้อยปีก่อนนู่น คือบริษัท Standard Statistics กับ Poor’s Publishing ครับ พอรวมกันก็เลยกลายเป็น Standard & Poor’s Corporation แล้วก็เติบโตเรื่อยมาจนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท McGraw-Hill Companies ในปัจจุบัน
จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ชื่อ Standard & Poor’s เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในวงการการเงิน มีสองอย่างหลักๆ ครับ
1. **หนึ่งในสามบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) รายใหญ่ของโลก:** Standard & Poor’s (หรือ S&P Ratings) เป็นหนึ่งในสามค่ายใหญ่ระดับโลกที่คอยประเมินความเสี่ยงในการชำระหนี้ของประเทศต่างๆ หรือของบริษัทต่างๆ ใครได้เรตติ้งดีก็แปลว่าความเสี่ยงต่ำ กู้ยืมง่าย ดอกเบี้ยถูกลงหน่อย ประมาณนี้ครับ อีกสองค่ายที่เหลือก็คือ Moody’s กับ Fitch Ratings ครับ
2. **ผู้สร้างดัชนีตลาดหลักทรัพย์สำคัญของโลก โดยเฉพาะ “ดัชนี S&P 500”:** นี่แหละคือสิ่งที่เรามักจะเจอในข่าวบ่อยที่สุด! ดัชนี S&P 500 (อ่านว่า เอส แอนด์ พี ห้าร้อย) ไม่ได้เป็นหุ้นของบริษัทชื่อ S&P นะครับ แต่เป็น *มาตรวัด* ที่ Standard & Poor’s สร้างขึ้นมา เพื่อสะท้อนภาพรวมและประสิทธิภาพของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

แล้วดัชนี **S&P 500** คืออะไร? ก็ตามชื่อเลยครับ มันคือการรวบรวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี เป็นเหมือนตัวแทนของบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่มีทั้งพลังงาน การเงิน สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ ซึ่งบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในสหรัฐฯ เลยทีเดียว!
การคำนวณดัชนี S&P 500 เนี่ย เขาไม่ได้ถัวเฉลี่ยกันธรรมดานะครับ แต่จะใช้วิธี **ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighted)** หมายความว่า บริษัทไหนมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่า ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทเล็กกว่าในกลุ่มนั่นเองครับ ส่วนเกณฑ์ในการคัดเลือกเข้าดัชนีก็ละเอียดซับซ้อน มีทั้งดูเรื่องมูลค่าตลาด สภาพคล่องของหุ้น กำไรสุทธิ ที่ตั้งบริษัท สัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด (Free Float) และต้องเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วย มีการปรับเปลี่ยนรายชื่อบริษัทในดัชนีเป็นรายไตรมาสเพื่อให้ดัชนีมีความทันสมัยอยู่เสมอ
ทำไมดัชนี S&P 500 ถึงสำคัญ? เพราะมันถูกใช้เป็นดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกครับ นักลงทุนทั่วโลกใช้มันเป็นเหมือน “เข็มทิศ” หรือ “บารอมิเตอร์” ในการประเมินทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโดยรวมของอเมริกา ลองนึกภาพว่า ตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ยใหญ่มากๆ ใหญ่พอที่จะส่งอิทธิพลไปถึงตลาดการเงินทั่วโลกได้เลยนะ ดังนั้น การเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 มักจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยครับ เวลา S&P 500 ขึ้นแรงๆ ตลาดหุ้นบ้านเราก็มีโอกาสคึกคักตามไปด้วย หรือถ้า S&P 500 ร่วงหนักๆ ตลาดหุ้นไทยก็มักจะหนาวๆ ร้อนๆ ตามเช่นกัน
**อยากลงทุนในดัชนี S&P 500 ทำได้ไหม?** ทำได้แน่นอนครับ นักลงทุนอย่างเราๆ สามารถเข้าถึงการลงทุนที่อิงกับดัชนีนี้ได้หลายวิธี ที่นิยมกันก็เช่น:
* **กองทุน ETF (Exchange Traded Fund):** หรือกองทุนรวมที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นนั่นแหละครับ กองทุน ETF ที่อิงดัชนี S&P 500 ก็มีเยอะเลย ตัวอย่างที่ดังๆ ระดับโลกก็เช่น VOO ของค่าย Vanguard หรือ SPY ของค่าย SPDR ครับ นักลงทุนในประเทศไทยบางส่วนสามารถลงทุนใน ETF เหล่านี้ได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น บัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศของบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งในไทย อย่างข้อมูลที่รวบรวมมาก็มีพูดถึง หลักทรัพย์บัวหลวง (BLS Global Investing) ที่ให้บริการนี้ครับ
* **สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs – Contracts for Difference):** อันนี้เป็นตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาของดัชนี S&P 500 โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์อ้างอิงจริง จุดเด่นคือสามารถใช้ **Leverage** หรืออัตราทดได้ ทำให้ใช้เงินลงทุนน้อยแต่ควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้สูง (ซึ่งก็แลกมากับความเสี่ยงที่สูงขึ้นมากๆ เช่นกัน) และสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงที่สูงตาม Leverage และความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ด้วยครับ
มีดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ตัวอื่นที่ดังๆ คู่กับ S&P 500 ไหม? มีครับที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ **Nasdaq 100** ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นบริษัทเทคโนโลยีและการเติบโตสูง 100 แห่งที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq (ไม่รวมสถาบันการเงิน) S&P 500 จะสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่กว้างกว่าเพราะมีหลากหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ Nasdaq 100 จะมีความกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยีสูงกว่า แม้ทั้งสองดัชนีมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางช่วง Nasdaq 100 ก็อาจจะเหวี่ยงแรงกว่าได้ เพราะหุ้นเทคโนโลยีมักจะมีความผันผวนสูงกว่าครับ
**“S&P” ตัวที่สอง: ร้านอาหารและเบเกอรี่ขวัญใจคนไทย (บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน))**
ทีนี้มาดู “S&P” อีกความหมาย ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีกว่า อันนี้ไม่ใช่ดัชนี ไม่ใช่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากอเมริกาแล้วนะครับ แต่หมายถึง **บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)** ครับ นี่คือบริษัทมหาชนของไทยแท้ๆ ที่ทำธุรกิจหลักเกี่ยวกับอาหารและเบเกอรี่ที่เราเห็นมีสาขาอยู่ทั่วประเทศนั่นแหละครับ และบริษัทนี้ก็จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วย ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายบนกระดานหุ้นว่า **“SNP”** ครับ
ประวัติของ S&P ไทยก็น่าสนใจนะครับ เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2516 จากร้านเล็กๆ ที่ซอยประสานมิตร สุขุมวิท 23 กรุงเทพฯ นี่เอง ก่อตั้งโดยตระกูลไรวาและตระกูลศิลาอ่อน เริ่มจากร้านไอศกรีมและอาหารเล็กๆ ก่อนจะขยายสู่ธุรกิจเบเกอรี่ และเป็นผู้บุกเบิกเค้กแต่งหน้าตามสั่ง รวมถึงเค้กลายการ์ตูนในไทยด้วยนะครับ เรียกว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำเทรนด์นี้เข้ามาเลย จากร้านเล็กๆ ก็เติบโตมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2532 ครับ
ธุรกิจของ S&P ไทย หรือ SNP เนี่ย มีความหลากหลายครับ ไม่ใช่แค่ร้านอาหารกับร้านเบเกอรี่ที่เราเห็นหน้าร้านนะ แต่แบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักๆ คือ
1. **ร้านอาหารและร้านเบเกอรี่ในประเทศ:** อันนี้ที่เราเห็นกันบ่อยๆ มีกว่า 475 สาขาทั่วไทยเลยครับ
2. **ร้านอาหารในต่างประเทศ:** S&P ก็โกอินเตอร์ด้วยนะ มีสาขาในต่างประเทศ 12 สาขา ทั้งในยุโรป (7 สาขา) และเอเชีย (5 สาขา) ครับ
3. **ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์:** ทั้งภายใต้แบรนด์ S&P เอง (อย่างพวกคุกกี้ ขนมต่างๆ) และผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ ด้วย (OEM)
4. **บริการอื่นๆ:** เช่น บริการจัดเลี้ยง (Catering) บริการเดลิเวอรี่ และรูปแบบร้านใหม่ๆ หรือแบรนด์ในเครืออีกมากมาย เช่น ร้านอาหารไทยระดับพรีเมียมอย่าง Patara, ร้านอาหารอิตาเลียน Patio, ร้านกาแฟ Bluecup, ร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Maisen, Umenohana, รวมถึงรูปแบบร้านที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัย เช่น S&P Delta, S&P Bakery Mart, Bakery Studio เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีธุรกิจสนับสนุนเบื้องหลังอย่างโรงงานผลิตและศูนย์กระจายสินค้าของตัวเองด้วยครับ

ในแง่ของผลประกอบการ (ข้อมูลปี 2566) บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ก็มีตัวเลขที่น่าสนใจนะครับ มีรายได้รวม 6,290.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 485.23 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 5,044.76 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่มีฐานที่มั่นคงในธุรกิจอาหารและเบเกอรี่ของไทย มีพนักงานกว่า 4,000 คนเลยทีเดียวครับ
จุดเด่นของ S&P ไทยที่เขายึดถือมาตลอดคือการเน้นคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ มุ่งมั่นที่จะมอบสุขภาวะที่ดี (Family Well-being) ให้ลูกค้า และมีหลักในการดำเนินงานที่จำง่ายๆ ว่า “บริการเรียบร้อย มีแต่ของอร่อย สถานที่สะอาด และบรรยากาศดี” ครับ ผลิตภัณฑ์เด่นๆ ที่คนนึกถึงก็อย่างที่บอกไปตอนแรก ทั้งข้าวไก่อบ เค้กปอนด์ ขนมไหว้พระจันทร์ คุกกี้ พัฟ พาย หรือเครื่องดื่มจาก Bluecup ครับ
แน่นอนว่าในตลาดอาหารและเบเกอรี่ของไทยก็มีผู้เล่นรายอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นคู่แข่งของ S&P ไทย เช่น กาโตว์ เฮาส์, ดังกิ้นโดนัท, มิสเตอร์ โดนัท, คริสปีครีม, แด๊ดดี้ โด ในกลุ่มโดนัท หรือ โอ บอง แปง, มิส มาม่อน, อานตี้ แอนส์, ยามาซากิ เบกกิง ในกลุ่มเบเกอรี่และร้านกาแฟ หรือแม้แต่ อาฟเตอร์ ยู ในกลุ่มขนมหวานและของหวานครับ ตลาดนี้ค่อนข้างแข่งขันสูงเลยทีเดียว
**สรุปแล้ว s&p ย่อมาจาก ได้สองแบบหลักๆ นะ คือ…**
เห็นไหมครับว่าแค่ตัวย่อ “S&P” เนี่ย ก็พาเราไปเจอโลกที่แตกต่างกันได้เลย สรุปง่ายๆ ก็คือ:
1. ถ้าเห็น “S&P” ในข่าวเศรษฐกิจ การเงินต่างประเทศ พูดถึงตลาดหุ้น ดัชนี การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่หมายถึง **Standard & Poor’s** ซึ่งเป็นบริษัทบริการทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา และที่เจอบ่อยสุดคือ **ดัชนี S&P 500** ที่เป็นมาตรวัดตลาดหุ้นอเมริกา
2. ถ้าเห็น “S&P” ในป้ายร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ หรือเห็นชื่อย่อหุ้นว่า **“SNP”** ในตลาดหุ้นไทย อันนี้หมายถึง **บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)** บริษัทอาหารและเบเกอรี่ชื่อดังของไทยเรานี่เอง
ดังนั้น เวลาเจอตัวย่อนี้ในครั้งต่อไป ลองดูบริบทดีๆ นะครับว่าเขากำลังพูดถึง “S&P” ตัวไหน ถ้าเป็นเรื่องลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ดัชนี S&P 500 ก็น่าจะเป็นตัวที่คุณต้องศึกษาความเคลื่อนไหวและวิธีการลงทุนต่างๆ ครับ แต่ถ้ากำลังเดินหาร้านซื้อเค้กวันเกิด หรืออยากนั่งทานข้าวไก่อบอร่อยๆ “S&P” ที่คุณนึกถึงก็คือบริษัทอาหารของไทยเรานี่แหละ
**ข้อควรรู้เพิ่มเติมสำหรับนักลงทุน:**
การลงทุนในดัชนี S&P 500 ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ETF หรือ CFDs นั้น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีตามการเติบโตของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจนะครับ เช่น ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เอง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ถ้าลงทุนด้วยเงินบาท) และความเสี่ยงเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์ เช่น Leverage ใน CFDs ที่อาจทำให้ขาดทุนหนักได้หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่เราคาดการณ์
ส่วนการลงทุนในหุ้น SNP ของไทย (บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)) ก็คือการลงทุนในหุ้นของบริษัทไทยปกติครับ ความเสี่ยงก็จะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหารและเบเกอรี่ และสภาวะตลาดหุ้นไทยโดยรวมครับ
⚠️ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน “S&P” ตัวไหน (ดัชนี S&P 500 หรือหุ้น SNP) การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และควรประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนนะครับ โดยเฉพาะเครื่องมือที่มี Leverage สูงๆ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขความกระจ่างเรื่อง “S&P” ให้เพื่อนๆ นักลงทุนและนักชิมทุกท่านนะครับ/คะ ครั้งหน้าเจอ “S&P” ที่ไหน จะได้รู้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ จะได้ไม่สับสนระหว่างดัชนีหุ้นระดับโลก กับเค้กอร่อยๆ อีกต่อไปครับ!