สวัสดีครับ/ค่ะ นักลงทุนและเพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องหุ้นทุกคน! ลองนึกภาพตามนะครับ/คะ เหมือนเรากำลังจะเลือกทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหม่ เพื่อไปแข่งระดับโลก ปกติเราก็จะดูจากชื่อเสียง ความเก่งกาจของแต่ละคนใช่ไหมครับ/คะ (เทียบได้กับมูลค่าบริษัท หรือ Market Cap นั่นแหละ)
แต่บางที นักเตะตัวเก่งมากๆ อาจจะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น เจ็บบ่อย หรือมีสัญญายุ่งๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถลงสนามได้เต็มที่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนหุ้นบางตัวที่มูลค่าใหญ่จริง แต่สัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดจริงๆ ให้คนทั่วไปซื้อขาย (หรือที่เรียกว่า Free Float) อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เขาก็เห็นจุดนี้ครับ/ค่ะ ก็เลยเหมือนกับออก “กฎใหม่” หรือ “แนวทางการเลือกทีม” แบบใหม่ขึ้นมา เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้การเลือกทีม (หรือก็คือ ดัชนีชี้วัดตลาดหุ้น) สะท้อนภาพความเป็นจริงของการซื้อขายในตลาดได้ดียิ่งขึ้น นี่แหละครับ/ค่ะ ที่มาของดัชนีใหม่ที่เราจะคุยกันวันนี้ นั่นคือ **SET50FF** และ **SET100FF**
คุณอาจจะสงสัยว่า **set50ff คือ** อะไร? มันก็คือดัชนี SET50 ในเวอร์ชันที่ปรับการคำนวณน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัว โดยเอา “สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย” หรือ Free Float มาพิจารณาด้วย ไม่ได้ดูแค่มูลค่าตลาด (Market Cap) เหมือนดัชนี SET50 เดิมเฉยๆ ส่วน SET100FF ก็หลักการเดียวกันกับ SET100 ครับ/ค่ะ
**แล้วสองดัชนีใหม่นี้ ต่างจากเดิมยังไง?**
เรื่องการคัดเลือกหุ้น 50 ตัวแรก หรือ 100 ตัวแรก ยังใช้เกณฑ์เดิมคล้ายๆ กันครับ/ค่ะ แต่จุดต่างที่สำคัญมากๆ คือ “วิธีให้น้ำหนัก” หรือการจัดอันดับความสำคัญของหุ้นแต่ละตัวในทีมใหม่นี้
* **ดัชนี SET50 และ SET100 เดิม:** ให้น้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อย่างเดียว หุ้นตัวไหนใหญ่สุด น้ำหนักก็เยอะสุด
* **ดัชนี SET50FF และ SET100FF:** ให้น้ำหนักตามมูลค่าตลาด *แต่ถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วน Free Float* หมายความว่า ต่อให้หุ้นตัวใหญ่มากๆ แต่มูลค่าส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือมี Free Float ต่ำ น้ำหนักของหุ้นตัวนั้นในดัชนีใหม่ก็จะถูกลดทอนลงไปครับ/ค่ะ ส่วนหุ้นที่อาจจะไม่ใหญ่เท่า แต่มี Free Float สูง นักลงทุนทั่วไปซื้อขายได้คล่อง น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดัชนีเดิม
มองง่ายๆ เหมือนการให้คะแนนนักเตะ นอกจากดูว่าเก่งแค่ไหน (มูลค่าตลาด) ยังดูด้วยว่า “ฟิตพร้อมลงสนามให้ทีมชาติจริงๆ” แค่ไหน (Free Float) นั่นเองครับ/ค่ะ ดัชนีใหม่นี้มีวันฐานที่ 28 ธันวาคม 2566 โดย SET50FF เริ่มที่ 875.25 จุด และ SET100FF เริ่มที่ 1938.83 จุด ส่วนการทบทวนรายชื่อหุ้นในดัชนี ก็ยังคงปีละ 2 ครั้งเหมือนเดิมครับ/ค่ะ (เดือนมิถุนายนและธันวาคม)
**เล่นตามกฎใหม่แล้ว ผลเป็นไงบ้าง? (ย้อนหลังไปดู)**
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาได้ลองทำ “Backtesting” หรือการจำลองผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนีใหม่นี้ เปรียบเทียบกับดัชนีเดิม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (มกราคม 2562 – ธันวาคม 2566) ซึ่งผลก็น่าสนใจทีเดียวครับ/ค่ะ
* **ผลตอบแทนรวม (Cumulative Return):** โดยภาพรวมแล้ว ทั้ง SET50FF และ SET100FF มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนรวมในช่วง 3-5 ปี สูงกว่าดัชนี SET50 และ SET100 เดิม

* **ผลตอบแทนต่อปี (Annualized Return):** ก็มีแนวโน้มสูงกว่าดัชนีเดิมเช่นกัน
* **ความผันผวน (Volatility):** ใกล้เคียง หรืออาจจะต่ำกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
* **อัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปี (Annualized Dividend Yield – 5 ปี):** ดัชนีใหม่มีแนวโน้มให้เงินปันผลสูงกว่า เช่น SET50FF เฉลี่ย 2.65% ต่อปี เทียบกับ SET50 เดิม 2.46%
* **อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio – 5 ปี):** อันนี้น่าสนใจ ดัชนีใหม่มี P/E เฉลี่ยที่ “ต่ำกว่า” ดัชนีเดิมครับ/ค่ะ เช่น SET50FF เฉลี่ย 17.03 เท่า เทียบกับ SET50 เดิม 19.24 เท่า แสดงว่าเมื่อพิจารณาตาม Free Float แล้ว หุ้นในดัชนีใหม่ดูเหมือนจะมีราคา “ไม่แพง” เท่าหุ้นในดัชนีเดิม เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้
ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากผลจำลองย้อนหลังของตลาดหลักทรัพย์ฯ นะครับ/คะ มันบอกแนวโน้มที่น่าสนใจว่า การถ่วงน้ำหนักด้วย Free Float อาจจะช่วยให้ดัชนีมีคุณสมบัติบางอย่างที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องย้ำว่านี่คือผลในอดีตนะครับ ไม่ได้แปลว่าอนาคตจะเป็นแบบนี้เสมอไป
**แล้วการมีดัชนีใหม่นี้ กระทบตลาดหุ้นและหุ้นรายตัวยังไงบ้าง?**
การเปิดตัวดัชนี SET50FF และ SET100FF เหมือนกับการแนะนำ “เครื่องมือ” หรือ “มุมมอง” ใหม่ๆ ในการมองตลาด ซึ่งโดยรวมแล้ว บทวิเคราะห์จากหลายๆ โบรกเกอร์ (เช่น บล. เอเชีย พลัส, บล. กรุงศรี พัฒนสิน) มองว่าเป็น **Sentiment เชิงบวก** ต่อตลาดหุ้นไทยครับ/ค่ะ เพราะมันช่วยลดความผันผวนที่อาจจะเกิดจากหุ้นที่มี Free Float ต่ำมากๆ ได้ และคาดว่าน่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ในภาพรวมของหุ้นที่อยู่ในดัชนีด้วย
* **หุ้นที่ Free Float ต่ำ:** หุ้นใหญ่ๆ บางตัวที่หลายคนกังวลว่าจะโดนคัดออกเพราะ Free Float น้อย เช่น DELTA, OR, GPSC, AWC, GULF, INTUCH, AOT ไม่ได้โดนคัดออกจากดัชนี SET50/SET100 เดิมนะครับ/คะ (ถ้ายังเข้าเกณฑ์อื่นอยู่) แต่ในดัชนีใหม่ SET50FF หรือ SET100FF เนี่ย น้ำหนักของหุ้นเหล่านี้จะถูกปรับลดลงไปเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เคยมีในดัชนีเดิม เพราะการคำนวณเน้น Free Float มากขึ้น
* **หุ้นที่ Free Float สูง:** ส่วนหุ้นที่ Free Float เยอะๆ นักลงทุนทั่วไปซื้อขายคล่องๆ เช่น หุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง BBL, KBANK หรือ KKP, SCB รวมถึงหุ้นอื่นๆ เช่น BANPU, CENTEL, TCAP, TISCO, AMATA, SIRI, AP, TU อะไรพวกนี้ ได้รับ Sentiment เชิงบวก เพราะน้ำหนักของหุ้นเหล่านี้ในดัชนีใหม่ SET50FF/SET100FF มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดัชนีเดิมครับ/ค่ะ
* **กลุ่มอุตสาหกรรม:** บางกลุ่มอุตสาหกรรมก็มีโอกาสที่น้ำหนักรวมในดัชนีใหม่จะเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มธนาคาร (BANK), การแพทย์ (HEALTHCARE), วัสดุก่อสร้าง (CONMAT), ท่องเที่ยว (TOURISM), ก่อสร้าง (CONS) โดยบางกลุ่มอาจมีน้ำหนักรวมเกิน 40% ในดัชนี FF
* **การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักรายตัว (อ้างอิงข้อมูลช่วงปลายปี 66):** หุ้นที่มีโอกาสน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะๆ ใน SET50FF เช่น BBL, KBANK, BDMS, SCB, SCC ส่วนหุ้นที่มีโอกาสน้ำหนักลดลงเยอะๆ (เมื่อเทียบกับ SET50 เดิม) เช่น DELTA, AOT, GULF, ADVANC, PTTEP
**กองทุนจะเอาไปใช้ไหม?**
ดัชนีใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ทางเลือก” ครับ/ค่ะ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในภาพใหญ่ อย่าง **กองทุนรวม** หรือ **กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ**
* **กองทุนรวม:** บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถเลือกใช้ดัชนี SET50FF หรือ SET100FF เป็น **เกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark)** ในการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนใหม่ๆ ได้ หรืออาจจะพิจารณาเปลี่ยน Benchmark ของกองทุนเดิม โดยต้องสื่อสารกับผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างชัดเจนและโปร่งใส
* **กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ:** คณะกรรมการกองทุนฯ และ บลจ. ก็สามารถพิจารณาและทบทวนเพื่อเปลี่ยน Benchmark ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปใช้ดัชนี FF ได้ หากเห็นว่าเหมาะสม

การใช้ดัชนี FF เป็น Benchmark มีข้อดีคือมันสะท้อนภาพตลาดที่ลงทุนได้จริงและมีสภาพคล่องดีกว่า ซึ่งอาจจะเหมาะกับวัตถุประสงค์ของกองทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องกับตลาด
**มองภาพรวมเศรษฐกิจไทย ช่วงต้นปี 2567**
การเปิดตัวดัชนีใหม่นี้ เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งมีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายอย่างที่น่าติดตาม และส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน
* **แนวโน้มเศรษฐกิจ:** หลายฝ่ายคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อนหน้า อย่างที่ บล. กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินไว้ว่า GDP อาจโตได้ถึง 3.4% (สูงกว่าศักยภาพปกติ) และกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) อาจโตได้ถึง 15.5%
* **เงินเฟ้อและดอกเบี้ย:** เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำมากๆ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะทรงตัว หรืออาจจะมีการปรับลดลงได้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุน
* **นโยบายภาครัฐ:** มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Easy E-Receipt (ลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า/บริการ) ในช่วง ม.ค.-ก.พ. 2567 ก็คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้
* **January Effect:** ในเดือนมกราคม มักจะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า January Effect คือตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีก็เป็นบวกถึง 1.87%
ปัจจัยบวกเหล่านี้ เหมือนเป็น “ลมส่ง” ที่เข้ามาในช่วงที่ดัชนี SET50FF และ SET100FF ถูกนำเสนอออกมาเป็นทางเลือกใหม่ ทำให้บรรยากาศการลงทุนช่วงต้นปีดูคึกคักขึ้นได้ครับ/ค่ะ โดยคาดว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลง (ยีลด์พีก) และมาตรการ Easy E-Receipt จะเป็นกลุ่มที่นำตลาดในช่วงนี้
**สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน**
SET50FF และ SET100FF ก็เหมือนกับการอัปเกรดวิธีการมองตลาดหุ้นไทยให้มีความแม่นยำและสะท้อนภาพการลงทุนจริงได้ดีขึ้นครับ/ค่ะ มันคือเครื่องมือใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอมา เพื่อให้ทั้งนักลงทุนสถาบัน (อย่างกองทุน) และนักลงทุนทั่วไป ได้ใช้พิจารณา
ในฐานะนักลงทุนรายย่อย เราควรทำความเข้าใจว่าดัชนีใหม่นี้คืออะไร **set50ff คือ** การมอง SET50 ผ่านแว่นตาของ Free Float ซึ่งมีวิธีคำนวณและคุณสมบัติทางสถิติที่แตกต่างไปจากดัชนีเดิม
* ถ้าคุณลงทุนในกองทุนรวมที่เป็น **Index fund (กองทุนดัชนี)** ที่อิงกับ SET50 หรือ SET100 ลองสอบถามหรือตรวจสอบข้อมูลดูว่า กองทุนนั้นใช้ Benchmark เป็นดัชนีเดิม หรือดัชนี FF แล้วหรือยัง และทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้ดัชนีนั้นๆ
* การที่หุ้นตัวไหนน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงในดัชนี FF เป็นผลมาจากการคำนวณตามเกณฑ์ใหม่ ไม่ได้แปลว่าหุ้นตัวนั้นดีขึ้นหรือแย่ลงในทันที อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อหรือขายตามข่าวนี้เพียงอย่างเดียวครับ/ค่ะ
* สิ่งสำคัญที่สุดคือ **การศึกษาข้อมูลของบริษัท** ที่คุณสนใจลงทุนด้วยตัวเอง (DIY – Do It Yourself) ทำความเข้าใจธุรกิจ ผลประกอบการ แนวโน้มในอนาคต และประเมินว่าเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่คุณรับได้หรือไม่
⚠️ โปรดจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ/คะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสภาพคล่องในการลงทุนของคุณไม่ได้สูงมาก (เงินอาจจะจมอยู่กับหุ้นตัวนั้นๆ นาน) แนะนำให้ประเมินสถานการณ์ของตัวเองให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ/คะ ผลการดำเนินงานในอดีตที่เห็นจากการ Backtesting ของดัชนีใหม่นี้ ไม่ได้การันตีว่าผลในอนาคตจะเป็นแบบนั้นเสมอไป การลงทุนในตลาดหุ้นทุกครั้งต้องทำความเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยครับ/ค่ะ