ไขข้อสงสัย! Nasdaq 100 มีอะไรบ้าง? ลงทุนยังไงให้ปัง

สวัสดีครับ! ในฐานะคนวงในตลาดการเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขและกราฟมานาน วันนี้อยากชวนคุยเรื่องใกล้ตัวแต่ส่งผลกับเงินในกระเป๋าเราได้มหาศาล โดยเฉพาะใครที่สนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอเมริกาที่ฮิตกันเหลือเกิน

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “Nasdaq 100” มาบ้าง แต่ก็อาจจะสงสัยว่าจริงๆ แล้ว nasdaq 100 มีอะไรบ้าง กันแน่นะ? ทำไมดัชนีนี้ถึงได้เป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก แล้วเราในฐานะนักลงทุนไทย จะมีส่วนร่วมกับความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ได้อย่างไรบ้าง?

ลองนึกภาพตามนะครับว่าในยุคดิจิทัลแบบนี้ ชีวิตประจำวันเราผูกพันกับเทคโนโลยีแค่ไหน? ตั้งแต่ตื่นเช้ามาหยิบ iPhone (บริษัทใหญ่อย่าง Apple), สั่งของออนไลน์จาก Amazon, ค้นหาข้อมูลจาก Google (ภายใต้บริษัทแม่อย่าง Alphabet), ดูหนังซีรีส์บน Netflix, หรือแม้แต่เล่นโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ Instagram (ของบริษัท Meta) บริษัทเหล่านี้แหละครับ คือตัวเอกส่วนใหญ่ที่อยู่ในดัชนี Nasdaq 100

จริงๆ แล้ว Nasdaq 100 ไม่ใช่แค่ดัชนีรวมหุ้นเทคโนโลยีเท่านั้นนะครับ แต่เป็นดัชนีที่รวมเอา 100 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสถาบันการเงิน ที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา พูดง่ายๆ คือเขาจะคัดบริษัทที่ไม่ใช่พวกธนาคาร หรือบริษัทการเงินจ๋าๆ ออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี, สื่อสารและบริการ, สินค้าอุปโภคบริโภคที่เน้นนวัตกรรม, และการแพทย์และสุขภาพชั้นนำระดับโลก ตัวอย่างบริษัทที่เราคุ้นเคยนอกจากที่กล่าวมา ก็มีทั้ง Microsoft เจ้าพ่อซอฟต์แวร์, NVIDIA ที่ทำชิปประมวลผลสุดแรง, Tesla เจ้าแห่งรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีพลังงาน หรือแม้แต่ร้านกาแฟที่เราชอบไปนั่งอย่าง Starbucks ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยนะ

ฟังแล้วก็พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่า nasdaq 100 มีอะไรบ้าง คือมันคือบ้านของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและมีอิทธิพลต่อชีวิตเราจริงๆ ครับ เขาไม่ได้คัดเลือกกันสุ่มๆ นะครับ มีเกณฑ์เข้มงวดเลย ต้องเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น เป็นใบรับฝากหุ้นในสหรัฐฯ (ADR), เป็นหุ้นสามัญ หรือหุ้นติดตาม (Tracking Stock) ที่สำคัญคือห้ามเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือบริษัทที่เน้นธุรกิจการเงิน และต้องมีการซื้อขายต่อวันค่อนข้างสูง แถมยังต้องรายงานผลประกอบการทั้งรายไตรมาสและรายปีให้โปร่งใส และแน่นอนว่าต้องไม่อยู่ในภาวะล้มละลายด้วย เกณฑ์พวกนี้มีการทบทวนและปรับเปลี่ยนรายชื่ออยู่เรื่อยๆ ทั้งรายไตรมาสและรายปี เพื่อให้ดัชนีนี้สะท้อนภาพบริษัทชั้นนำที่เข้าเกณฑ์อย่างแท้จริง

ทีนี้พอเรารู้แล้วว่า nasdaq 100 มีอะไรบ้าง เรามาดูกันต่อว่าเขาคำนวณดัชนีนี้ยังไง? ดัชนี Nasdaq 100 ใช้วิธีการคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด (ที่เรียกว่า modified-market-cap-weighted) ซึ่งหมายความว่าบริษัทไหนมีมูลค่าตลาดใหญ่ หุ้นของบริษัทนั้นก็จะมีน้ำหนักในดัชนีมาก แต่เขาก็มีกลไกปรับสมดุลอยู่เหมือนกันครับ เพื่อไม่ให้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดเพียงไม่กี่บริษัทมีอิทธิพลครอบงำดัชนีมากจนเกินไป โดยเขาจะจำกัดน้ำหนักของบริษัทที่ใหญ่มากๆ ไม่ให้เกินประมาณ 24% อย่างมีนัยสำคัญ วิธีนี้ช่วยให้ดัชนียังพอมีความหลากหลายอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่หุ้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เติบโตเร็ว ดัชนี Nasdaq 100 ก็เลยขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนที่สูงกว่าดัชนีที่รวมหุ้นจากหลากหลายภาคส่วนอย่าง S&P 500 นั่นเองครับ ความผันผวนนี้เองที่ทำให้นักลงทุนที่ชอบการเติบโตและเทรดเดอร์ระยะสั้นสนใจดัชนีนี้เป็นพิเศษ

แล้วแนวโน้มตลาดของ Nasdaq 100 เป็นยังไงล่ะ? โอ้โห ต้องบอกว่าดัชนีนี้มีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคหลายอย่างเลยครับ อย่างเรื่องอัตราเงินเฟ้อเนี่ยก็มีผลชัดเจนนะ จากข้อมูลในอดีต เวลาที่เงินเฟ้อสูงๆ ตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตอย่างเทคโนโลยี มักจะมีผลตอบแทนที่ลดลง เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? ก็เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มักจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเนี่ยมันเหมือนยาขมสำหรับหุ้นเทคฯ เลยครับ เพราะมันทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทสูงขึ้น แถมยังทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจชะลอการใช้จ่ายลงด้วย

แต่ในอีกมุมหนึ่ง แม้จะมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยมากดดันอยู่บ้าง แต่เราก็เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อยู่ใน nasdaq 100 มีอะไรบ้าง อย่าง Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, หรือ Meta เนี่ย ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และหลายๆ บริษัทก็ยังทำผลประกอบการได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในไตรมาสล่าสุดนะ แม้บางส่วนจะมีการคาดการณ์ว่ารายได้ในอนาคตอาจจะเติบโตช้าลงบ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน และเพราะฐานเปรียบเทียบผลประกอบการในปีที่ผ่านๆ มามันค่อนข้างสูงนั่นเองครับ

สิ่งที่น่าจับตามากๆ คือศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัทเหล่านี้ครับ ดัชนี Nasdaq 100 มีโอกาสอย่างมากที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เรากำลังเห็นความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เราคุ้นเคยกับชื่ออย่าง Chat GPT หรือ Bard AI หรือชิปประมวลผล AI ของ Nvidia ก็อยู่ในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีโลกเสมือนและโลกเสริมอย่าง AR/VR ที่ Meta กำลังทุ่มพัฒนา Oculus Quest, หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทเหล่านี้ได้อีกมหาศาลในอนาคต

มองย้อนกลับไปในระยะกลางถึงยาว ดัชนี Nasdaq 100 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีมาโดยตลอดครับ มีข้อมูลระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (อ้างอิงข้อมูลถึงประมาณช่วงกลางปี 2023) ดัชนีนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% ซึ่งถือว่าน่าประทับใจมากๆ ครับ แม้ว่าในระยะสั้น ราคาหุ้นในดัชนีอาจจะได้รับอิทธิพลจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของบรรดาเทรดเดอร์ หรือข่าวสารรายวันบ้างก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว แนวโน้มตลาดยังคงน่าสนใจจากศักยภาพของบริษัทชั้นนำและนวัตกรรมใหม่ๆ ครับ

อย่างที่เกริ่นไปครับว่านโยบายการเงินของ Fed เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Nasdaq 100 ช่วงที่ผ่านมา Fed มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสู้กับเงินเฟ้อสูง ซึ่งกดดันตลาดหุ้นมาพักใหญ่ แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มมองเห็นสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ทำให้มีการประเมินโอกาสสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป และอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ ซึ่งท่าทีของ Fed เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนี่แหละครับ เป็นเหมือนเข็มทิศสำคัญ ถ้า Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือเริ่มลดดอกเบี้ยได้เมื่อไหร่ ก็มีแนวโน้มจะเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มเติบโตและดัชนี Nasdaq 100 ครับ

นอกจากนโยบายการเงินแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ ก็มีส่วนในการขับเคลื่อนดัชนีนี้เช่นกันครับ ตัวชี้วัดอย่างตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่บอกถึงการเติบโตโดยรวมของเศรษฐกิจ หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ก็มีอิทธิพลต่อราคาดัชนีได้ เพราะหุ้นใน Nasdaq 100 ส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนไหวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในดัชนี โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, และ Amazon ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักในดัชนีสูงมากๆ เนี่ย มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยรวมเลยครับ การติดตามข้อมูลเหล่านี้จึงสำคัญมากๆ สำหรับการประเมินทิศทางของ Nasdaq 100

เอาล่ะครับ พอรู้เรื่องราวของ nasdaq 100 มีอะไรบ้าง แล้วเกิดสนใจอยากลงทุนบ้าง ทำได้ไหมนะ? สำหรับนักลงทุนไทยนี่สะดวกเลยครับ เราสามารถลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 ได้ง่ายๆ ผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนอ้างอิงดัชนีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่กองทุนไทยเหล่านี้ก็จะไปลงทุนต่อในกองทุนหลักในต่างประเทศ เช่น กองทุนอย่าง Invesco NASDAQ 100 ETF ซึ่งเป็น ETF ที่ใหญ่และได้รับความนิยมมากๆ ตัวอย่างกองทุนไทยที่เราอาจจะคุ้นชื่อกันบ้างก็มีหลายกองครับ เช่น K-USXNDQ-A(A) ของ บลจ.กสิกรไทย, KKP NDQ100-H ของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร, TLUSNDQ-H-A ของ บลจ.ทิสโก้ หรือ SCBNDQ(A) ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ เป็นต้น

การลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบนี้เป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากมีส่วนร่วมกับหุ้นชั้นนำในดัชนี Nasdaq 100 ครับ เพราะเราไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศเอง ซึ่งอาจจะยุ่งยากกว่า แต่การเลือกกองทุนก็สำคัญนะครับ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ผลตอบแทนย้อนหลังที่ผ่านมาเป็นยังไง (แต่ต้องไม่ลืมว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลตอบแทนในอนาคตเสมอไปนะ), ระดับความผันผวนของกองทุน (ดูจากค่า SD หรือ Standard Deviation ยิ่งสูงยิ่งผันผวนมาก), ค่า Sharpe Ratio ที่บอกประสิทธิภาพการสร้างผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยง, และที่สำคัญคือเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวมของกองทุน (Expense Ratio) และค่าธรรมเนียมซื้อขายหน่วยลงทุน (ถ้ามี) ครับ

ข้อควรระวังเรื่องความเสี่ยง: มาถึงตรงนี้ต้องย้ำกันหนักๆ ครับว่า การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในดัชนีอย่าง Nasdaq 100 ที่เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความผันผวนสูงเนี่ย มีความเสี่ยงสูงมากๆ นะครับ ราคาอาจจะขึ้นลงรุนแรงตามปัจจัยภายนอกมากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐ กฎหมาย หรือแม้แต่ปัจจัยทางการเมืองที่ไม่คาดฝัน การลงทุนในตราสารทางการเงินเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลยนะครับ ยิ่งถ้ามีการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน (Margin) หรือเงินกู้มาลงทุน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัว

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 ผ่านช่องทางไหนก็ตาม นักลงทุนทุกท่านควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบครับ ควรศึกษาข้อมูลของกองทุนหรือช่องทางการลงทุนให้ละเอียดถี่ถ้วน พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตัวเอง ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ระดับประสบการณ์ในการลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองว่ารับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหนครับ และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตเพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

Leave a Reply