ไขข้อสงสัย FTSE คืออะไร? ลงทุนอย่างเข้าใจ สไตล์เพื่อนคุย!

โอ้โห พักนี้เห็นข่าวบ่อยๆ ว่าหุ้นขึ้นหุ้นลงตาม “ดัชนี” ต่างๆ หรือได้ยินคำว่า “ESG” ที่ดูเหมือนจะมาแรงขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีก็แอบงงว่า ไอ้เจ้าคำศัพท์พวกนี้ โดยเฉพาะคำว่า **FTSE** หรือ “ฟุตซี่” ที่เห็นบ่อยๆ เนี่ย มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับกระเป๋าเงิน หรือการตัดสินใจลงทุนของเราบ้าง วันนี้ผมในฐานะเพื่อนนักเขียนคอลัมน์การเงินจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้านครับ

จริงๆ แล้ว **ftse คือ** กลุ่มบริษัทระดับโลกที่เชี่ยวชาญเรื่องการคำนวณและบริหารดัชนีตลาดหลักทรัพย์ครับ พวกเขาเหมือนเป็นกรรมการที่คอยดูแลว่าหุ้นตัวไหน ควรจะอยู่ในดัชนีไหน แล้วดัชนีนั้นๆ มีค่าเท่าไหร่ในแต่ละวัน ทีนี้ พอ FTSE มาร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ของเรา ก็เลยเกิดเป็นชุดดัชนีที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในตลาดหุ้นไทยนี่แหละครับ ชื่อว่า **FTSE SET Index Series**

ทำไมต้องร่วมมือกันด้วย? ง่ายๆ เลยครับ เพื่อยกระดับมาตรฐานดัชนีของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น เหมือนเวลาเราไปแข่งกีฬาก็ต้องใช้กติกาเดียวกันทั่วโลก ดัชนีก็เหมือนกันครับ ยิ่งมาตรฐานดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าเชื่อถือ และดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้มากขึ้น แถมยังช่วยให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่อ้างอิงดัชนีเหล่านี้ได้อีกด้วย

ในชุดดัชนี **FTSE SET** เนี่ย เขาแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆ ตามขนาดมูลค่าตลาดและความสำคัญครับ ที่ดังๆ เลยก็มี
* **FTSE SET Large Cap Index:** อันนี้คือดัชนีที่รวมเอาหุ้น “พี่ใหญ่” ของตลาด 30 ตัวแรก ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดและผ่านเกณฑ์ต่างๆ แล้ว
* **FTSE SET Mid Cap Index:** ถัดมาก็เป็นหุ้นขนาดกลางๆ ครับ เอาหุ้นที่ใหญ่รองลงมาจากกลุ่ม Large Cap
* **FTSE SET Small Cap Index:** อันนี้ก็เป็นหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ Large หรือ Mid Cap
* **FTSE SET All-Share Index:** อันนี้รวมหมดเลยครับ ทั้ง Large, Mid, Small Cap

แล้วการที่หุ้นจะเข้าไปอยู่ในดัชนีเหล่านี้ได้ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? หลักๆ คือต้องมี “ฟรีโฟลต” (Free Float) สูงพอสมควร คือมีหุ้นส่วนที่นักลงทุนทั่วไปซื้อขายได้จริงๆ เยอะๆ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่กับผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มเดียว และต้องมี “สภาพคล่อง” สูงด้วย คือซื้อขายง่าย ขายคล่อง ไม่ใช่แบบว่าอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ อยากขายก็ไม่มีคนรับซื้อครับ การคัดเลือกและปรับเปลี่ยนรายชื่อหุ้นในดัชนีเหล่านี้ เขาจะทำกันปีละ 2 ครั้ง คือช่วงกลางปี (มิถุนายน) และปลายปี (ธันวาคม) ครับ

พูดถึงดัชนีเฉพาะทาง ก็มีอีกอันที่น่าสนใจคือ **FTSE SET Shariah Index** ครับ ดัชนีนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง ตลท., FTSE Group และ Yasaar Limited ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอิสลามโดยเฉพาะ ดัชนีนี้ทำมาเพื่อนักลงทุนที่นับถือศาสนาอิสลาม และต้องการลงทุนในหุ้นที่ “ฮาลาล” คือสอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลาม ซึ่งจะมีเกณฑ์คัดเลือกที่เข้มงวดมากครับ ทั้งเรื่องประเภทธุรกิจ (ห้ามทำธุรกิจที่ไม่สอดคล้อง เช่น ธนาคาร/ประกันที่ไม่ได้ทำตามหลักอิสลาม, ธุรกิจเกี่ยวกับแอลกอฮอล์, หมู, บันเทิงบางประเภท, ยาสูบ, อาวุธ) และเกณฑ์โครงสร้างทางการเงิน (เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ต้องไม่เกิน 33% รายได้จากดอกเบี้ยหรือธุรกิจที่ไม่สอดคล้องต้องไม่เกิน 5% ของรายได้รวม) ดัชนีนี้ก็มีการทบทวนรายชื่อปีละ 2 ครั้งเหมือนกันครับ

ทีนี้ ถามว่าดัชนีเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับการลงทุนของเราโดยตรง? ก็เกี่ยวข้องตรงที่เราสามารถใช้ดัชนีเหล่านี้เป็น “ดัชนีชี้วัด” หรือ Benchmark ได้ครับ เช่น ถ้าเราลงทุนในหุ้นใหญ่ เราก็อาจจะเทียบผลตอบแทนของเรากับ **FTSE SET Large Cap Index** ว่าเราทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่าดัชนี หรือเราอาจจะลงทุนใน “กองทุนรวมดัชนี” หรือ “ETF” ที่อ้างอิงดัชนีเหล่านี้โดยตรงไปเลยครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ “คุณสมชาย” แกอยากลงทุนในหุ้นใหญ่ๆ 30 ตัวแรกของไทย แต่แกไม่มีเวลามานั่งเลือกทีละตัว หรือจะซื้อ 30 ตัวก็ใช้เงินเยอะและยุ่งยาก แกก็อาจจะเลือกซื้อ **ETF ที่อ้างอิงดัชนี FTSE SET Large Cap** อย่างกองทุน ThaiDEX FTSE SET Large Cap ETF (TFTSE) แทนครับ การซื้อ TFTSE ก็เหมือนกับการซื้อหุ้นแค่ตัวเดียว แต่จริงๆ แล้วเงินของเราได้กระจายไปลงทุนในหุ้นใหญ่ 30 ตัวตามสัดส่วนในดัชนีนั้นแล้ว ช่วยให้กระจายความเสี่ยงได้ง่ายๆ เหมือนได้ตะกร้าหุ้นใหญ่สำเร็จรูปมาเลยครับ กองทุนพวกนี้ยังมีกลไกดูแลสภาพคล่องให้ซื้อง่ายขายคล่องด้วย ทำให้สะดวกสำหรับนักลงทุนทั่วไปครับ

นอกจากดัชนีในไทยแล้ว **FTSE Group** ก็ยังดูแลดัชนีสำคัญๆ ทั่วโลกอีกมากมายครับ อย่างที่โด่งดังมากๆ เลยก็คือ **FTSE 100 Index** อันนี้เป็นดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ประเทศอังกฤษครับ เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของบริษัทขนาดใหญ่ 100 หรือ 102 แห่งแรกในสหราชอาณาจักร ถือเป็นดัชนีสำคัญระดับโลกตัวหนึ่งเลย ใครที่เทรดหุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นอังกฤษ ก็มักจะอ้างอิงหรือใช้ดัชนี **FTSE 100** เป็นเกณฑ์ครับ ดัชนีนี้มีการทบทวนรายชื่อบ่อยกว่าหน่อย คือทุกไตรมาส และแน่นอนว่าก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญทั่วโลกด้วย

เอาล่ะ จากเรื่องดัชนี มาสู่เรื่องที่มาแรงขึ้นเรื่อยๆ ในโลกการลงทุน นั่นก็คือเรื่องของ “ความยั่งยืน” หรือ **ESG** ครับ ESG ย่อมาจาก Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (บรรษัทภิบาล) มันคือการมองว่า บริษัทที่เราจะลงทุน ไม่ได้ดูแค่ว่าทำกำไรเก่งอย่างเดียว แต่ดูด้วยว่าดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไหม ดูแลพนักงาน ลูกค้า สังคม ดีหรือเปล่า และมีการบริหารจัดการภายใน มีธรรมาภิบาล โปร่งใส แค่ไหน

ตรงนี้แหละครับที่ **FTSE Russell** (ซึ่งก็อยู่ในเครือ FTSE Group นั่นแหละครับ) เข้ามามีบทบาทสำคัญ เขาได้ร่วมมือกับ ตลท. พัฒนาระบบการประเมินผลการดำเนินงานด้าน **ESG** ของบริษัทจดทะเบียนไทยตามมาตรฐานสากลออกมาเรียกว่า **FTSE Russell ESG Scores** ครับ คะแนนนี้จะบอกว่าบริษัทนั้นๆ มีการดำเนินงานด้าน ESG อยู่ในระดับไหน ให้คะแนนเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0.0 (ไม่มีข้อมูลเลย) ไปจนถึง 5.0 (ดีเยี่ยมในระดับ Best practices)

จุดเด่นของ **FTSE Russell ESG Scores** คือ เขาเน้นใช้ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้วครับ เช่น รายงานความยั่งยืน รายงานประจำปี ไม่ได้ให้บริษัทมานั่งตอบแบบสอบถามเฉพาะของเขา ทำให้โปร่งใสและลดภาระบริษัทไปได้เยอะเลยครับ การประเมินนี้ครอบคลุมหลายมิติมากๆ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต ความสัมพันธ์กับชุมชน การดูแลสิทธิพนักงาน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยมีตัวชี้วัดละเอียดกว่า 300 ตัว ซึ่งจะปรับตามลักษณะธุรกิจของแต่ละบริษัทด้วย

แล้วการประเมินนี้มีประโยชน์อะไรบ้าง? สำหรับบริษัทจดทะเบียนเอง ก็ช่วยเพิ่มความโปร่งใส เป็นที่รู้จักในสายตาของนักลงทุนสถาบันทั่วโลก และสามารถนำผลไปเทียบเคียงกับบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ ทำให้รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน และต้องพัฒนาอะไรต่อไปครับ ส่วนสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ **ESG Scores** เหล่านี้ก็เป็นข้อมูลสำคัญมากๆ ที่ช่วยให้เราวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น ซึ่งบริษัทที่ใส่ใจเรื่อง ESG มักจะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การประเมิน **FTSE Russell ESG Scores** ในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานครับ ในช่วงปี 2567-2568 นี้ยังเป็นช่วง “โครงการนำร่อง” ประเมินกลุ่มบริษัทเป้าหมายไปก่อน โดยยังไม่มีการประกาศผลรายบริษัทสู่สาธารณะครับ เขาจะเริ่มประกาศผลให้สาธารณะรับรู้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป แต่เราก็ได้เห็นภาพรวมผลการประเมินปีแรก 2567 ไปบ้างแล้วครับ

จากข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา ผลการประเมินบริษัทไทย 225 แห่งในปีแรก (2567) พบว่ากว่า 50% หรือ 121 บริษัท ได้คะแนนเฉลี่ยรวมตั้งแต่ 3.0 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ Good Practice ครับ เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและไต้หวัน ก็ถือว่าใกล้เคียงกันเลย

สิ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ เมื่อเจาะลึกไปดูเป็นรายมิติ มิติ “บรรษัทภิบาล” หรือ G เนี่ย บริษัทไทยทำคะแนนเฉลี่ยได้สูงถึง 4.2 จากคะแนนเต็ม 5 เลยนะครับ! แถมยังมีกว่า 75% ของบริษัทที่ได้คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 4.0 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัททั่วโลกและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ด้วยซ้ำครับ คะแนน G ที่ดีเยี่ยมนี้ อาจจะสะท้อนว่าเกณฑ์การกำกับดูแลกิจการและการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาลตามที่หน่วยงานกำกับดูแลและผู้ประเมินในไทยกำหนดนั้นค่อนข้างเข้มแข็ง และบริษัทไทยก็ปฏิบัติตามได้ดี

แต่ในทางกลับกัน มิติ “สิ่งแวดล้อม” หรือ E เนี่ย ยังเป็นจุดที่บริษัทไทยส่วนใหญ่ต้องเร่งพัฒนาครับ มีถึง 158 บริษัท หรือกว่า 70% ที่ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 3 คะแนน ซึ่งอาจจะสะท้อนว่าบริษัทไทยยังไม่คุ้นเคยกับการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกในบางตัวชี้วัดตามมาตรฐานสากล เช่น การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน หรือการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างเป็นระบบ

เมื่อเทียบ **FTSE Russell ESG Scores** กับ SET ESG Ratings ที่ ตลท. ทำมานานแล้ว ก็จะเห็นความแตกต่างหลักๆ ที่น่าสนใจครับ
1. **วิธีการประเมิน:** SET ESG Ratings ใช้แบบประเมินและเอกสารที่บริษัทส่งให้ (มีข้อมูลภายในด้วย) ในขณะที่ **FTSE Russell ESG Scores** ใช้เฉพาะข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น ทำให้ FTSE Russell โปร่งใสกว่า และลดภาระบริษัทในการจัดทำข้อมูลใหม่ไปได้ครับ
2. **การจัดกลุ่มบริษัท:** SET ESG Ratings ใช้การจัดกลุ่มตามหมวดธุรกิจของ ตลท. (8 อุตสาหกรรม, 28 หมวดธุรกิจ) แต่ **FTSE Russell ESG Scores** ใช้มาตรฐานสากลที่เรียกว่า ICB (Industry Classification Benchmark) ซึ่งแบ่งละเอียดกว่ามาก (11 อุตสาหกรรม, 173 หมวดธุรกิจย่อย) แถมยังพิจารณาประเทศที่ตั้งและระดับความเสี่ยงของธุรกิจประกอบด้วย ทำให้การเปรียบเทียบกับบริษัทต่างประเทศแม่นยำกว่า
3. **ตัวชี้วัด:** SET ESG Ratings มีตัวชี้วัดประมาณ 140-150 ตัว ส่วนใหญ่เป็นตัวชี้วัดทั่วไป ในขณะที่ **FTSE Russell ESG Scores** มีตัวชี้วัดมากกว่า 300 ตัว ซึ่งมีตัวชี้วัดเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมมากขึ้น และยังเน้นข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี รวมถึงมีการทวนสอบข้อมูลเชิงปริมาณ ทำให้การประเมินเข้มข้นและครอบคลุมกว่าครับ

สรุปแล้ว จะเห็นว่า “ดัชนี” และ “ESG Scores” ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง **FTSE** และ **FTSE Russell** เนี่ย ไม่ใช่เรื่องไกลตัวนักลงทุนเลยครับ ดัชนีช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมตลาด ใช้เป็นเกณฑ์วัดผล หรือเป็นเครื่องมือในการลงทุนผ่าน ETF ได้ ส่วน **ESG Scores** ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้เราเลือกบริษัทที่เราอยาก “ร่วมเติบโต” ไปด้วยในระยะยาว บริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการบริหารจัดการที่ดี มักจะมีพื้นฐานแข็งแกร่งและยั่งยืนกว่า ซึ่งท้ายที่สุดก็อาจสะท้อนมาที่ผลการดำเนินงานที่ดีในระยะยาวได้ครับ

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ การทำความเข้าใจว่า **ftse คือ** อะไร เขามีบทบาทอย่างไรในการกำหนดดัชนีและการประเมินความยั่งยืน จะช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นในการวิเคราะห์ตลาดและคัดเลือกหุ้นหรือกองทุนครับ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนที่อ้างอิงดัชนี **FTSE SET** หรือการใช้ **FTSE Russell ESG Scores** เป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจเลือกหุ้น

สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือทางการเงินใดๆ ที่อ้างอิงดัชนี หรือเลือกหุ้นจากคะแนน **ESG** ก็คือ อย่าลืมศึกษาข้อมูลของกองทุนหรือบริษัทนั้นๆ ให้รอบด้าน ทำความเข้าใจเงื่อนไข นโยบายการลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองเสมอครับ เครื่องมืออย่างดัชนีหรือคะแนน ESG เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่ทั้งหมดครับ

**⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน**

Leave a Reply