สวัสดีครับนักลงทุน (และคนที่อาจจะยังไม่ใช่นักลงทุน แต่สงสัยเหมือนเพื่อนผม) วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “ดัชนีดาวโจนส์” หรือที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า ดาวโจนส์ (Dow Jones) ครับ เห็นพาดหัวข่าวทีไร ต้องมีชื่อนี้โผล่มาตลอด บางทีก็พุ่งปรี๊ด บางทีก็ดำดิ่ง แล้วไอ้เจ้า dow jones คือ อะไรกันแน่ ทำไมมันสำคัญจัง? ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ดาวโจนส์ก็เหมือนกับ “พี่ใหญ่” ในวงการตลาดหุ้นอเมริกาเลยล่ะ เป็นดัชนีที่เก่าแก่มากๆ ตัวหนึ่งของโลก มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 โน่นเลย (ก่อตั้งปี 1883/1896 โดยสองท่านผู้ก่อตั้งที่ชื่อ ชาลส์ ดาว (Charles Dow) และ เอ็ดเวิร์ด โจนส์ (Edward Jones)) คิดดูสิว่าเก่าขนาดไหน! จากเริ่มต้นแค่ 12 บริษัทในอุตสาหกรรมหนักๆ ก็ค่อยๆ ขยายมาเรื่อยๆ จนเป็น 30 บริษัทอย่างทุกวันนี้ และรายชื่อบริษัทก็มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

แล้วพี่ใหญ่คนนี้หน้าตาเป็นยังไง? ตอนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) เนี่ย ประกอบไปด้วยหุ้นของ 30 บริษัทใหญ่ยักษ์ระดับ “บลูชิป” (Blue Chip) ในสหรัฐอเมริกา บริษัทเหล่านี้เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เทคโนโลยี, การเงิน, สุขภาพ, อุตสาหกรรม, ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นบริษัทที่เรารู้จักชื่อคุ้นหูกันดี หลายบริษัทเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้จากทั่วโลก และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกอย่างมหาศาลเลยครับ บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดแนสแด็ก (NASDAQ) ครับ แต่ที่ทำให้ดาวโจนส์แตกต่างจากดัชนีหุ้นอื่นๆ อย่าง S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) หรือ NASDAQ Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต) คือวิธีการคำนวณครับ! ในขณะที่ดัชนีส่วนใหญ่จะคำนวณโดยอิงจาก “มูลค่าตลาด” (Market Capitalization) หรือเอาง่ายๆ คือ เอาจำนวนหุ้นทั้งหมดคูณราคา แล้วบริษัทไหนมูลค่าเยอะ ก็มีผลต่อดัชนีมาก แต่ดาวโจนส์ใช้การคำนวณแบบ “ถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น” (Price Weighted Index) หมายความว่า หุ้นตัวไหนมี “ราคา” ต่อหุ้นสูงกว่า ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า แม้ว่ามูลค่าตลาดรวมของบริษัทนั้นจะเล็กกว่าบริษัทอื่นในดัชนีก็ตาม ฟังดูแปลกๆ ไหมครับ แต่นี่แหละคือเอกลักษณ์ของเขา
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ แล้วทำไมเราถึงต้องสนใจว่า dow jones คือ อะไร และมันขึ้นลงแล้วไงต่อ? คำตอบง่ายๆ ก็คือ ดัชนีดาวโจนส์เปรียบเสมือน “เทอร์โมมิเตอร์” วัดไข้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาครับ เมื่อไหร่ที่ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ก็มักจะสะท้อนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกา ในทางกลับกัน ถ้าดาวโจนส์ร่วงแรง ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในเศรษฐกิจ หรือนักลงทุนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง ความน่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ การเคลื่อนไหวของดาวโจนส์ยังส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก เหมือนเวลาที่พี่ใหญ่อเมริกันไอขึ้นมา ตลาดหุ้นในยุโรป เอเชีย (รวมถึงตลาดหุ้นไทยของเราด้วยนะ) มักจะได้รับอิทธิพลตามไปด้วย ลองสังเกตดูช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ๆ สิครับ ข่าวแรกๆ ที่เราจะได้ยินมักจะหนีไม่พ้น “ดัชนีดาวโจนส์ร่วง” หรือ “ดัชนีดาวโจนส์พุ่ง” เลยครับ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองเปรียบเทียบดาวโจนส์กับเพื่อนร่วมวงการตลาดหุ้นอเมริกาหน่อยไหมครับ?
* **ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones):** 30 บริษัทใหญ่ยักษ์ระดับบลูชิป ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเก่าแก่และมั่นคง คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตาม “ราคาหุ้น”
* **S&P 500 (เอสแอนด์พี 500):** 500 บริษัทขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่าดาวโจนส์หลายเท่า) ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตาม “มูลค่าตลาด” ถือเป็นตัวแทนภาพรวมตลาดหุ้นอเมริกาได้ดีกว่าและนิยมใช้อ้างอิงมากกว่า
* **NASDAQ Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต):** เน้นหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทที่เติบโตสูง มีจำนวนบริษัทมากกว่า 3,000 แห่ง คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตาม “มูลค่าตลาด” เหมาะสำหรับคนที่สนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เห็นไหมครับว่าแต่ละดัชนีก็มี “คาแรคเตอร์” ที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากมองภาพรวมเศรษฐกิจ หรือเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมไหน แล้วอะไรบ้างล่ะที่ทำให้ดาวโจนส์ขยับขึ้นลงเป็นว่าเล่น? ปัจจัยพวกนี้แหละครับที่ต้องจับตา:
* **ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค:** ตัวเลข GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ), อัตราการว่างงาน, อัตราเงินเฟ้อ พวกนี้บอกสุขภาพของเศรษฐกิจอเมริกาโดยตรง
* **นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐฯ):** Fed ลดดอกเบี้ย? เพิ่มดอกเบี้ย? พิมพ์เงิน? พวกนี้ส่งผลต่อสภาพคล่องและความน่าดึงดูดของการลงทุนอย่างมาก
* **เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์:** สงคราม, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ, การเลือกตั้งในประเทศสำคัญๆ พวกนี้สร้างความไม่แน่นอนและส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
* **ผลประกอบการของบริษัท 30 ตัวในดัชนี:** แน่นอนว่าถ้าบริษัทใหญ่ๆ กำไรดี หุ้นก็ขึ้น ดัชนีก็ขึ้น
* **ความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม:** บางทีก็ไม่มีข่าวร้ายอะไรเป็นพิเศษ แค่นักลงทุนรู้สึกไม่มั่นใจ ตลาดก็เทขายได้
* **อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ:** ดอลลาร์แข็งหรืออ่อนก็มีผลต่อการส่งออกและรายได้ของบริษัทข้ามชาติเหล่านี้

เอาล่ะ เมื่อเข้าใจแล้วว่า dow jones คือ อะไร และมันสำคัญยังไง คำถามต่อไปคือ “แล้วจะลงทุนในดาวโจนส์ได้ไหม?” คำตอบคือ คุณไม่สามารถ “ซื้อ” ตัวดัชนีดาวโจนส์ได้โดยตรงนะครับ มันเหมือนกับการซื้อค่าเฉลี่ย เราต้องลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ “อ้างอิง” กับดัชนีนี้แทนครับ วิธีที่นักลงทุนนิยมกันก็มีหลายแบบ เช่น:
* **กองทุน ETF (Exchange Traded Fund):** เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ซื้อขายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มีหลายกองที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีดาวโจนส์โดยเฉพาะ (อย่างเช่น ETF ที่ชื่อย่อว่า DIA)
* **กองทุนรวมต่างประเทศ:** กองทุนรวมของ บลจ. ในไทยหลายแห่งก็มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นหรือ ETF ที่อ้างอิงดัชนีดาวโจนส์ครับ อันนี้ก็สะดวกดี เปิดบัญชีกับ บลจ. ในไทยแล้วเลือกลงทุนได้เลย
* **ซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบในดัชนี:** ถ้าชอบบริษัทไหนเป็นพิเศษใน 30 ตัวนั้น ก็สามารถเลือกซื้อหุ้นของบริษัทนั้นโดยตรงได้เลย ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ในไทยหรือต่างประเทศ แบบนี้ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในดัชนีรวมๆ
ข้อดีของการลงทุนที่อ้างอิงดาวโจนส์คือ คุณได้กระจายความเสี่ยงไปใน 30 บริษัทใหญ่ยักษ์ระดับโลกที่มีความมั่นคงค่อนข้างสูง และเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าการไปเลือกหุ้นรายตัวเล็กๆ ครับ นอกจากนี้ โดยทั่วไป ความผันผวนของดัชนีรวมๆ มักจะต่ำกว่าความผันผวนของหุ้นรายตัว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ด้วยความที่มีแค่ 30 บริษัท และใช้วิธีคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามราคา มันอาจไม่ได้สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดได้ดีเท่าดัชนี S&P 500 นะครับ
สรุปง่ายๆ คือ dow jones คือ ดัชนีหุ้น “พี่ใหญ่” ที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา แม้จะประกอบด้วยหุ้นเพียง 30 ตัว แต่การเคลื่อนไหวของมันก็เป็นเหมือนสัญญาณชีพของเศรษฐกิจอเมริกาและส่งผลไปทั่วโลก การทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร ขยับเพราะอะไร และจะลงทุนผ่านช่องทางไหนได้บ้าง จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่นักลงทุน (หรือคนที่สนใจเรื่องการเงิน) ควรทำความรู้จักไว้ครับ
⚠️ **ข้อควรจำ:** การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ไม่ว่าจะลงทุนในดัชนีที่ว่ามั่นคงอย่างดาวโจนส์ หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษาข้อมูล” ครับ ทำความเข้าใจเครื่องมือที่จะลงทุน นโยบายของกองทุน หรือลักษณะของหุ้นแต่ละตัวให้ดีก่อนตัดสินใจลงเงินไปนะครับ อย่าลงทุนตามกระแสโดยที่เรายังไม่รู้ว่ากำลังลงทุนในอะไร เหมือนเวลาจะขับรถไปไหน ก็ต้องรู้ก่อนว่าจะไปที่ไหน และเส้นทางเป็นยังไงใช่ไหมครับ? การลงทุนก็เช่นกันครับ “รู้” ก่อน “ลงทุน” นะครับ โชคดีกับการลงทุนทุกคนครับ!