แนสแด็ก คือ ขุมทรัพย์เทคโนโลยีที่นักลงทุนไทยต้องรู้!

พักนี้หลายคนคงได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ โดยเฉพาะบรรดาบริษัทเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Apple, Microsoft, Tesla หรือเจ้าพ่อชิปอย่าง Nvidia ที่ดูเหมือนราคาจะวิ่งเอาๆ จนน่าตกใจ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเรียกตลาดหุ้นหรือดัชนีที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเหล่านี้อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะชื่อหนึ่งที่ฮิตติดหูคือ “แนสแด็ก” (Nasdaq) แต่ถ้าถามลึกๆ ว่า แนสแด็ก (Nasdaq) คือ อะไร มีดีตรงไหน ทำไมนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยถึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ วันนี้คอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋าอย่างผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังครับ

ลองนึกภาพตามนะครับ ตลาดหุ้นอเมริกาไม่ได้มีแค่แห่งเดียว แต่มี “ตลาดหลักทรัพย์” ใหญ่ๆ อยู่ 2 แห่งที่เราควรรู้จักครับ แห่งแรกคือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก หรือ NYSE (New York Stock Exchange) อันนี้เก่าแก่สุดในอเมริกา มีบริษัทขนาดใหญ่ระดับตำนานจดทะเบียนอยู่เพียบ เปรียบเหมือนพี่ใหญ่ที่มีอายุยาวนาน ส่วนอีกแห่งก็คือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) นี่แหละครับ ซึ่ง แนสแด็ก (Nasdaq) คือ ตลาดที่ถือกำเนิดมาทีหลัง โดยก่อตั้งในปี 1971 ตอนแรกมีแนวคิดจะช่วยให้บริษัทเล็กๆ เข้าถึงแหล่งระดมทุนได้ง่ายขึ้น แต่ไปๆ มาๆ แนสแด็ก (Nasdaq) กลับกลายเป็นบ้านของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมยักษ์ใหญ่ระดับโลกไปซะอย่างนั้น แถมยังเป็นตลาดหุ้นแห่งแรกในโลกที่ใช้ระบบซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ล้วนๆ ไม่ต้องมีคนไปยืนตะโกนเคาะกระดานเหมือนสมัยก่อนแล้ว ปัจจุบัน แนสแด็ก (Nasdaq) ถือเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจาก NYSE พี่ใหญ่ของเขานั่นเอง

ทีนี้ พอมีตลาดหุ้น ก็ต้องมีตัวชี้วัดใช่ไหมครับ เราเรียกสิ่งนี้ว่า “ดัชนีอ้างอิง” หรือ Index มันก็เหมือนเข็มวัดอุณหภูมิของตลาด หรือของกลุ่มหุ้นบางกลุ่ม ให้เราพอเห็นภาพรวมว่าตอนนี้หุ้นกลุ่มนี้หรือตลาดนี้กำลังขึ้นหรือลง หรือทรงๆ ตัว เพราะเราคงไปดูราคาหุ้นกว่า 3,000 ตัวใน แนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) ทั้งหมดไม่ไหวหรอกครับ ดัชนีเลยเข้ามาช่วยตรงนี้ ดัชนีหลักๆ ของตลาดหุ้นอเมริกาที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นมาตรวัดก็มีอยู่ 3 ตัวใหญ่ๆ ที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ นั่นคือ ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500), ดัชนี Dow Jones (ดาวโจนส์) และดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ซึ่งอยู่ในตลาด แนสแด็ก (Nasdaq) นี่แหละครับ

มาเจาะลึกที่ แนสแด็ก (Nasdaq) กันอีกหน่อย ชื่อเต็มๆ อย่างที่บอกไปคือ National Association of Securities Dealers Automated Quotations ฟังดูทางการมากๆ แต่เอาเป็นว่า แนสแด็ก (Nasdaq) คือ ตลาดที่เน้นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี การสื่อสาร บริการ และนวัตกรรมเป็นพิเศษครับ จุดเด่นอีกอย่างของ แนสแด็ก (Nasdaq) คือการซื้อขายจะทำผ่าน “ดีลเลอร์” หรือผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ต่างจากตลาดแบบดั้งเดิมที่คนซื้อกับคนขายมาเจอกันตรงๆ ผ่านตัวกลาง แนสแด็ก (Nasdaq) ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์กเชื่อมโยงดีลเลอร์เข้าหากัน ทำให้นักลงทุนซื้อขายได้สะดวก รวดเร็ว

แล้ว แนสแด็ก (Nasdaq) เขาวัดผลกันยังไง? ดัชนีของ แนสแด็ก (Nasdaq) มีหลักๆ สองตัวที่เราควรรู้ครับ ตัวแรกคือ ดัชนี แนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) อันนี้ใหญ่สุด ครอบคลุม “หุ้นทั้งหมด” ที่จดทะเบียนในตลาด แนสแด็ก (Nasdaq) ครับ มีมากกว่า 3,000 บริษัทเลยทีเดียว ทั้งบริษัทอเมริกาเองและบริษัทต่างชาติด้วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ ใบรับฝากหุ้น (ADR) กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่กองทุน ETF ก็รวมอยู่ในนี้หมดครับ แต่ที่เรามักจะเห็นข่าว หรือที่กองทุนต่างๆ ใช้เป็นดัชนีอ้างอิงบ่อยๆ คือ ดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ซึ่งเป็นดัชนีย่อยที่คัด “บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 100 แห่ง” ที่จดทะเบียนในตลาด แนสแด็ก (Nasdaq) และ “ไม่ใช่สถาบันการเงิน” ครับ แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) นี่แหละครับที่เป็นเหมือน “ตัวแทน” ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเติบโตสูงในตลาดอเมริกาอย่างแท้จริง บริษัทที่เราคุ้นชื่ออย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Meta Platforms (เจ้าของ Facebook), Alphabet (เจ้าของ Google), Tesla หรือ Nvidia นี่แหละครับ คือหัวหอกสำคัญที่อยู่ใน แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) นี้ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด (ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2567) หุ้นเหล่านี้ก็ยังคงเป็นหุ้น Top Holding หรือหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนีนี้ครับ เคยมีข้อมูลย้อนไปเมื่อกลางปี 2563 ที่แสดงว่าหุ้นเพียง 5 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันในดัชนีถึงกว่า 46% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งครับ

ก่อนที่บริษัทจะมาจดทะเบียนในตลาด แนสแด็ก (Nasdaq) ได้ ก็ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งด้านการเงิน การกำกับดูแลกิจการ และสภาพคล่องครับ แถมต้องได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. สหรัฐฯ (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และมีผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างน้อย 3 รายด้วย กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 4-6 สัปดาห์ พอผ่านเกณฑ์แล้ว ก็จะถูกจัดอยู่ในระดับตลาดต่างๆ เช่น Global Select Market (สำหรับบริษัทขนาดใหญ่และมีมูลค่าตลาดสูง) หรือ Global Market และ Capital Market (สำหรับบริษัทขนาดเล็กกว่า) ครับ

ทีนี้มาดูภาพรวมดัชนีทั้ง 3 ตัวใหญ่ๆ กันชัดๆ ครับ ถ้าเปรียบเทียบ ดัชนี Dow Jones เหมือนเป็น “ตัวแทน” ของบริษัทเก่าแก่ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิมๆ มีแค่ 30 ตัวเท่านั้น วิธีคำนวณก็พิเศษหน่อยคือ “ถ่วงน้ำหนักตามราคา” (Price-Weighted) หมายถึงหุ้นตัวไหนราคาสูง ก็มีอิทธิพลต่อดัชนีเยอะกว่า แม้ว่าบริษัทอาจจะเล็กกว่าก็ตามครับ ส่วน ดัชนี S&P 500 จะกว้างกว่า ครอบคลุม 500 บริษัทขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม ถือเป็นตัวแทนของมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดถึง 80% เลยครับ และ ดัชนี S&P 500 กับ ดัชนี แนสแด็ก (Nasdaq) ทั้งตัว Composite และ 100 จะใช้วิธีคำนวณแบบ “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market Capitalization Weighted) คือ บริษัทไหนมีมูลค่าตลาด (เอาง่ายๆ คือ ราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้นทั้งหมด) ใหญ่เท่าไหร่ ก็มีอิทธิพลต่อดัชนีตามสัดส่วนนั้นครับ ยิ่งบริษัทใหญ่มาก ดัชนีก็ยิ่งขยับตามบริษัทนั้นเยอะ แต่สำหรับ แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) จะมี “เพดานน้ำหนัก” เพื่อไม่ให้หุ้นใหญ่มากๆ เพียงไม่กี่ตัวมีอิทธิพลเหนือดัชนีมากเกินไปครับ สรุปง่ายๆ คือ Dow Jones เน้นบริษัทใหญ่ดั้งเดิม (ดูที่ราคา), S&P 500 คือภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกา (ดูที่มูลค่าตลาด), ส่วน แนสแด็ก (Nasdaq) ทั้ง Composite และ 100 เน้น “เทคโนโลยีสูง” และ “บริษัทเติบโตเร็ว” (ดูที่มูลค่าตลาดเช่นกัน แต่ 100 มีเพดาน)

แล้วทำไม แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน? แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) เป็นแหล่งรวมของ “หุ้นเติบโตสูง” (Growth Stocks) ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีศักยภาพในการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เราเห็นในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ ทั้ง AI, Cloud Computing, E-commerce, รถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่เทคโนโลยีโลกเสมือนอย่าง AR/VR (ที่อาจต่อยอดไปสู่ Metaverse ในอนาคต) บริษัทเหล่านี้มักมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีอนาคตที่น่าจับตา จากข้อมูลในอดีต แนสแด็ก (Nasdaq) มักจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่า S&P 500 และ Dow Jones ในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะปกติ ยกเว้นช่วงวิกฤติบางอย่าง เช่น ช่วงฟองสบู่ดอตคอมในอดีตที่หุ้นเทคโนโลยีร่วงแรง หรือช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วๆ ครับ แต่ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของ แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ในช่วง 1 ปี หลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ครั้งสุดท้ายในอดีต มักจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกถึง 11.5% เลยทีเดียว (เป็นข้อมูลในอดีตนะครับ ไม่ใช่การรับประกันอนาคต)

แน่นอนว่าการลงทุนใน แนสแด็ก (Nasdaq) ก็มีปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาดูด้วยครับ ตัวแปรสำคัญเลยก็คือ นโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed (เฟด) ครับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในอดีต เคยเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตสูงอย่างเทคโนโลยี เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทแพงขึ้น และยังทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าเทคโนโลยีบางอย่าง ซึ่งส่งผลลบต่อราคาหุ้นครับ แต่ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดเริ่มประเมินว่า Fed อาจใกล้ยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว (ข้อมูล ณ ช่วงกลางปี 2023) และอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งท่าทีที่ผ่อนคลายลงของ Fed ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตครับ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง “เงินเฟ้อ” เองก็มีผลกระทบโดยตรงครับ เงินเฟ้อที่สูงมากๆ มักสัมพันธ์ในเชิงลบกับผลตอบแทนของ แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) เพราะเงินเฟ้อสูงเท่ากับ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรง แต่ถ้าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง ก็ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดครับ ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาหุ้นและดัชนีโดยรวมครับ ถึงแม้บางช่วงรายได้อาจจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ถ้าปัจจัยพื้นฐานบริษัทยังแข็งแกร่งและทำกำไรได้ดี ก็ย่อมเป็นแรงหนุนสำคัญครับ

แล้วนักลงทุนไทยอย่างเราจะไปลงทุนใน แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ได้ยังไงล่ะ? ง่ายๆ เลยครับ เราไม่จำเป็นต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นที่อเมริกาให้ยุ่งยาก เพราะตอนนี้มี “กองทุนรวม” ของ บลจ. ไทยหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยได้ไปร่วมลงทุนในดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ครับ โดยส่วนใหญ่กองทุนไทยเหล่านี้จะไปลงทุนต่อในกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ระดับโลกที่อ้างอิงดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) อีกที เช่น กองทุน Invesco NASDAQ 100 ETF ซึ่งเป็น ETF ที่มีขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักกันดีครับ ก็เหมือนเราฝากเงินให้ บลจ. ไปซื้อกองทุนใหญ่ๆ ที่เขาลงทุนในหุ้น 100 ตัวตามดัชนี แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ให้เรานั่นเองครับ มีกองทุนไทยหลายชื่อที่ลงทุนในลักษณะนี้ เช่น SCBNDQ, BCAP-USND100, KKP NDQ100, KFNDQ หรือ K-USXNDQ ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ครับ นี่เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ลงทุนกองทุนใดกองทุนหนึ่งเป็นพิเศษ

สรุปแล้ว แนสแด็ก (Nasdaq) คือ ตลาดหุ้นที่เป็นศูนย์รวมของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำของโลก และ แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ก็คือตัวแทนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ 100 แห่งในตลาดนั้น การลงทุนใน แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ผ่านกองทุนรวมจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากกระจายพอร์ตไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและเป็นผู้นำเทรนด์ของโลกครับ มีทั้งปัจจัยสนับสนุนในระยะสั้นจากท่าทีของ Fed และปัจจัยระยะยาวจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่! อย่าลืมนะครับว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงก็มาพร้อมกับความผันผวนที่สูงเช่นกันครับ ราคาอาจขึ้นแรงลงแรงได้ง่ายกว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมๆ การลงทุนมีความเสี่ยง และผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตเสมอไปครับ

ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนที่อ้างอิง แนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) หรือดัชนีอื่นๆ ก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลกองทุนนั้นๆ ให้ละเอียด ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม และประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้เสมอครับ อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าไปตามกระแสโดยที่ยังไม่เข้าใจดีพอ การลงทุนที่รอบคอบคือการลงทุนที่เราสบายใจและเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของเราเองครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและมีสติครับ!

Leave a Reply