เปิดสูตรลับ! ลงทุน หุ้น ไทย SET ให้ได้ผลตอบแทนระยะยาว

เคยสังเกตไหมครับ เวลาดูข่าวเช้า หรือเปิดแอปการเงิน แล้วเห็นตัวเลขใหญ่ๆ ที่เขียนว่า SET Index บวกเท่านี้ ลบเท่านี้? บางวันก็เขียวสดใส บางวันก็แดงก่ำจนใจหาย ตัวเลขนี้แหละครับ คือ “หน้าตา” โดยรวมของตลาดหุ้นไทย หรือจะเรียกว่าเป็น “มาตรวัดไข้” ของเศรษฐกิจไทยเลยก็ได้

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วไอ้ `สูตร หุ้น ไทย set` เนี่ย มันมีอะไรซับซ้อนแค่ไหน ทำไมตัวเลขถึงขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ แล้วที่สำคัญ เราซึ่งเป็นนักลงทุนตัวเล็กๆ จะเข้าใจมันได้ยังไงบ้าง ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขเหล่านี้มาพอสมควร วันนี้ผมจะชวนคุยเรื่องดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้านครับ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาไม่ได้มีแค่ดัชนี SET ตัวเดียวที่เป็นพระเอกนะครับ จริงๆ แล้วเขามีดัชนีหลายแบบมากๆ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนร้านอาหารที่มีเมนูหลากหลายให้เลือกตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มแหละครับ มีทั้ง SET Index ที่รวมหุ้นเกือบทั้งหมดในตลาดฯ เอาไว้ ให้เห็นภาพรวมกว้างๆ ว่าวันนี้บรรยากาศในตลาดเป็นยังไง ถ้า SET ขึ้น แสดงว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดราคาขยับขึ้น ถ้า SET ลง ก็แปลว่าหุ้นส่วนใหญ่ราคาลดลง มูลค่าตลาดโดยรวมก็เปลี่ยนตามไปด้วย

นอกจาก SET Index แล้ว ก็ยังมีตัวอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่าง SET50 ที่รวมเอาหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด มีสภาพคล่องสูงปรี๊ด ใครชอบหุ้น “พี่ใหญ่” ในตลาดฯ ก็ดูตัวนี้ หรือจะเป็น SET100 ที่ขยับวงกว้างขึ้นมาหน่อย รวม 100 ตัวแรกเข้าไป ก็เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ถึงขนาดกลางที่เติบโตดี นอกจากนี้ยังมีดัชนีเฉพาะกลุ่มอีกเพียบ เช่น SETHD สำหรับสายปันผล ที่เน้นหุ้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ, sSET ที่เป็นกลุ่มหุ้นนอก SET100 ลงมาหน่อย แต่อยู่ในกลุ่มที่มีสภาพคล่องดี หรือ SETTHSI สำหรับนักลงทุนสายยั่งยืน ที่สนใจบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) พวกนี้ก็มีเกณฑ์คัดเลือกหุ้นของตัวเองครับ ไม่ใช่ว่าจะเข้าจะออกกันได้ง่ายๆ เขาจะมีการทบทวนรายชื่อกันเป็นรอบๆ (ส่วนใหญ่ก็ทุก 6 เดือนนี่แหละ) เพื่อให้ดัชนีสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด

ทีนี้มาถึงเรื่องของ “การวิเคราะห์” บ้างครับ เวลาเราจะดูว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจไหม หรือตลาดโดยรวมอยู่ในภาวะไหน นอกจากดูราคาแล้ว นักลงทุนเขาก็จะมี “เครื่องมือ” ที่เรียกว่า `อัตราส่วนทางการเงิน` หรือ `สูตร` การคำนวณต่างๆ ที่ช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้นครับ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้แหละคือส่วนหนึ่งของ `สูตร หุ้น ไทย set` ที่นักวิเคราะห์ใช้กัน

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่าง อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ หรือ P/E Ratio ตัวนี้ดังมาก ความหมายของมันก็คือ นักลงทุนยอมจ่ายกี่บาท เพื่อแลกกับกำไรของบริษัท 1 บาทนั่นเอง ค่า P/E สูงๆ อาจจะหมายถึงหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มเติบโตดี นักลงทุนเลยยอมจ่ายแพงหน่อย หรือ P/E ต่ำๆ อาจจะแปลว่าหุ้นถูก หรือบริษัทอาจจะไม่ได้มีแนวโน้มเติบโตหวือหวาอะไร การดู P/E ก็เอาไว้เปรียบเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือดูการเปลี่ยนแปลงของ P/E ตัวมันเองในอดีตครับ นอกจากนี้ยังมีอัตราส่วนอื่นๆ อีกเยอะแยะเลยครับ ทั้ง P/BV (ราคาเทียบมูลค่าทางบัญชี), Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล), Market Cap (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม), อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) หรือ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) พวกนี้ก็เป็น `สูตร` ที่ช่วยให้เราเข้าใจสุขภาพทางการเงินและมูลค่าของบริษัทได้ดีขึ้นครับ ไม่ต้องจำให้หมดก็ได้ครับ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละตัวสองตัว

แต่สิ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นเหมือนหัวใจของ `สูตร หุ้น ไทย set` สำหรับนักลงทุนระยะยาวเลยนะครับ คือเรื่องของ “เวลา” ครับ เคยได้ยินไหมครับว่า “เวลา” คือเพื่อนที่ดีที่สุดของการลงทุน? ข้อมูลการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี SETTRI (ซึ่งรวมทั้งส่วนต่างราคาและเงินปันผลเข้าไปด้วย) ในอดีตย้อนหลังไปถึงปี 2554 นี่น่าสนใจมากๆ เลยครับ

นักวิเคราะห์เขาคำนวณมาให้ดูเลยว่า ถ้าเรา `ลงทุน` ใน `หุ้น ไทย` โดยดูตามดัชนีนี้ แล้วถือยาวๆ เนี่ย `ผลตอบแทนจากการลงทุน` จะเป็นยังไงบ้าง?

* **ถ้าถือยาว 10 ปี:** โอ้โห! โอกาสขาดทุนนี่น้อยมากๆ ครับ แทบจะเรียกได้ว่าใครที่ถือเกิน 10 ปี ไม่น่าจะขาดทุนเลย ช่วงที่โชคร้ายที่สุดของคนถือ 10 ปี ยังได้ `ผลตอบแทน` ทบต้นปีละ 1.4% เลยครับ ส่วนช่วงที่โชคดีที่สุดก็พุ่งไปถึงปีละ 10.4% โดยเฉลี่ยแล้วได้ `ผลตอบแทน` ปีละประมาณ 5.2% แบบทบต้นครับ

* **ถ้าถือ 5 ปี:** โอกาสขาดทุนเริ่มมีแล้วครับ ประมาณ 12% แต่ส่วนใหญ่ 88% ก็ยังกำไรอยู่ ช่วงที่โชคร้ายสุดๆ ขาดทุนปีละ -5.3% แต่ช่วงโชคดีสุดๆ ก็ได้ถึงปีละ 17.1% โดยเฉลี่ย 5 ปี ได้ `ผลตอบแทน` ปีละ 4.9%

* **ถ้าถือ 2 ปี:** โอกาสขาดทุนสูงขึ้นอีก เป็นประมาณ 27% ครับ `ผลตอบแทน` เฉลี่ยปีละ 5.5%

* **ถ้าถือแค่ 1 ปี:** โอกาสขาดทุนโดดขึ้นมาเยอะที่สุดเลยครับ เกือบ 34% เลยทีเดียว แต่ช่วงที่กำไรก็กำไรโหดเหมือนกันครับ ช่วงโชคดีสุดๆ ได้ถึง 59.3% ในปีเดียว แต่ช่วงโชคร้ายสุดๆ ก็ขาดทุนไปถึง -35.5% ครับ `ผลตอบแทน` เฉลี่ย 1 ปี อยู่ที่ 6.76% ครับ

จากตัวเลขพวกนี้ เราเห็นอะไรครับ? เห็นว่า ยิ่งถือ `หุ้น ไทย` นานเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะเจ็บตัว หรือขาดทุน ก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้นครับ การที่ราคาหุ้นมันขึ้นๆ ลงๆ ในระยะสั้นเป็นเรื่องปกติมากๆ เหมือนอากาศแหละครับ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปเรื่อยๆ ตามเศรษฐกิจที่เติบโตนั่นแหละครับ

ดังนั้น `สูตร หุ้น ไทย set` ที่สำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่การรู้ `สูตร` คำนวณ `อัตราส่วนทางการเงิน` ต่างๆ หรือการดูดัชนีว่าวันนี้ขึ้นหรือลง แต่คือการเข้าใจธรรมชาติของ `ตลาดหุ้นไทย` ว่ามันมีการผันผวนในระยะสั้น แต่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว และให้ “เวลา” ทำงานครับ การ `ลงทุน` ใน `หุ้น` ก็เหมือนการปลูกต้นไม้ครับ ปลูกวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะยังไม่เห็นดอกผลอะไร แต่ถ้าดูแลรดน้ำไปเรื่อยๆ ต้นไม้ก็จะเติบโตและให้ดอกผลตอบแทนเราในที่สุด

สรุปง่ายๆ สำหรับมือใหม่ (หรือมือเก๋าที่อยากทบทวน) การทำความเข้าใจ `ตลาดหลักทรัพย์` และ `ดัชนี` ต่างๆ ก็เหมือนกับการรู้จักสนามที่เรากำลังจะไปเล่นนั่นแหละครับ การรู้จัก `อัตราส่วนทางการเงิน` ก็เหมือนมีเครื่องมือวัดค่าต่างๆ ส่วนการเข้าใจเรื่อง `ผลตอบแทนจากการลงทุน` ในระยะเวลาที่ต่างกัน ก็คือการรู้ “กติกา” สำคัญของเกมนี้ครับ

ถ้าคุณมีแผน `ลงทุน` ระยะยาว และรับความผันผวนในระยะสั้นได้ `ตลาดหุ้นไทย` ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ เข้าใจว่าเรากำลังจะ `ลงทุน` ในอะไร และอย่าลืมว่า “เวลา” คือ `สูตร` ลับที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในการ `ลงทุน` ครับ

⚠️ การ `ลงทุน` มีความเสี่ยง ผู้ `ลงทุน` ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ `ผลตอบแทน` ในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน `ผลตอบแทน` ในอนาคตเสมอไปนะครับ

Leave a Reply