
หลายคนเวลาพูดถึงหุ้นไทย มักจะนึกถึงแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่เป็น “พี่เบิ้ม” อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างหุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 ใช่ไหมครับ? ชื่อคุ้นหู เจอตามข่าวบ่อยๆ แต่รู้ไหมว่า จริงๆ แล้วในตลาดบ้านเรายังมีเพชรเม็ดงามอีกมากมายซ่อนอยู่ เป็นบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่มีศักยภาพเติบโตดี และน่าจับตามองไม่แพ้กัน ซึ่งไอ้เจ้าหุ้นกลุ่มนี้แหละครับที่มีดัชนีตัวหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนความเคลื่อนไหวของมันโดยเฉพาะ นั่นก็คือ sSET คือ ดัชนีที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่อยากขยายขอบเขตการลงทุนออกไปนอกกรอบเดิมๆ บอกเลยว่าต้องรู้จักไว้ครับ
แล้ว sset คือ อะไรล่ะ? อธิบายง่ายๆ มันคือดัชนีราคาหุ้นที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2560 โน่นเลยครับ จุดประสงค์ก็ชัดเจนมาก คืออยากให้ผู้ลงทุนได้รู้จักและเข้าถึงข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสภาพคล่องดีๆ คือซื้อขายได้คล่อง ไม่ใช่หุ้นที่นานๆ จะมีคนเคาะที ดัชนีนี้จะรวมเอาหุ้นที่อยู่นอกกลุ่ม SET50 และ SET100 มาไว้ด้วยกัน เพื่อให้มันเป็นเหมือนแผนที่บอกทาง หรือเป็น “ดัชนีอ้างอิง” (Benchmark) เวลาที่เราอยากวัดผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ และที่สำคัญ มันยังเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนา “ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน” (Financial Products) ใหม่ๆ ในอนาคตด้วย เช่น กองทุนรวม หรือ กองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่จะมาอ้างอิงดัชนี sSET นี่แหละครับ
ทีนี้มาดูกันว่า หุ้นแบบไหนถึงจะมีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในดัชนี sset คือ เขาไม่ได้เลือกมั่วๆ นะครับ มีเกณฑ์ที่ชัดเจนเลย อย่างแรกก็ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก่อน จากนั้นก็ต้อง *ไม่* อยู่ในรายชื่อของ SET100 คือหลุดจากกลุ่ม 100 ตัวใหญ่สุดมาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เล็กจิ๋วหลิวจนเกินไปนะครับ เพราะเขาจะเลือกบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ในลำดับตั้งแต่ 90% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 98% ของหุ้นสามัญทั้งหมดในตลาด พูดง่ายๆ คืออยู่ในกลุ่มกลางๆ ค่อนไปทางเล็กนั่นเอง นอกจากขนาดแล้ว เรื่องสภาพคล่องก็สำคัญมาก ต้องมีปริมาณการซื้อขายต่อเดือนที่สม่ำเสมอ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีการซื้อขายแบบนี้อย่างน้อย 9 เดือนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา แถมยังมีเรื่อง “สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย” (Free-float) อีก ที่ต้องไม่น้อยกว่า 20% ของทุนชำระแล้ว และแน่นอนว่า หุ้นที่กำลังมีปัญหาใหญ่ๆ อย่างโดนขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) หรือเข้าข่ายถูกเพิกถอน ก็จะถูกคัดออกไปครับ ที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้จำกัดว่าต้องมีกี่ตัวเลขเป๊ะๆ ในแต่ละรอบ เหมือน SET50 หรือ SET100 นะครับ ขึ้นอยู่กับว่ามีกี่บริษัทที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดนี้
การคำนวณดัชนี sset คือ ก็ใช้วิธีเดียวกับดัชนีหลักๆ อื่นๆ คือ คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) โดยเขากำหนดให้วันฐาน (Base Date) คือวันที่ 30 ธันวาคม 2559 มีค่าดัชนีเริ่มต้นอยู่ที่ 1,000 จุด ส่วนการทบทวนรายชื่อหุ้นในดัชนี ก็จะทำทุกๆ 6 เดือนครับ โดยรอบการทบทวนก็จะตรงกันกับรอบของ SET50 และ SET100 นั่นแหละ เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

แล้ว sset คือ มีประโยชน์ยังไงบ้างล่ะ? โอ้โห บอกเลยว่ามีประโยชน์กับทุกคนในตลาดเลยครับ สำหรับ “ผู้ลงทุน” อย่างพวกเราๆ นี่มีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้นเลย จากเดิมที่อาจจะมองแต่หุ้นใหญ่ๆ ตอนนี้เรามีรายชื่อหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีสภาพคล่องดีๆ เป็นเหมือนไกด์ไลน์ให้ศึกษา ทำให้เราได้รู้จักบริษัทนอกกลุ่ม SET100 มากขึ้น สามารถใช้ดัชนี sSET เป็นตัวชี้วัดหรือ “เกณฑ์วัดผลตอบแทน” (Benchmark) สำหรับพอร์ตที่เราเน้นหุ้นกลุ่มนี้ได้ และด้วยความที่มันมีดัชนีอ้างอิงแบบนี้ ก็จะกระตุ้นให้นักวิเคราะห์ทำบทวิเคราะห์และคำแนะนำสำหรับหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นด้วยครับ ส่วน “บริษัทจดทะเบียน” ที่ได้เข้าไปอยู่ในดัชนี ก็เหมือนได้ประชาสัมพันธ์ตัวเอง ได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ลงทุนมากขึ้น มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะหันมาสนใจทำบทวิเคราะห์ให้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นตัวเองสูงขึ้นตามมาก็ได้ครับ และสุดท้าย “ผู้ประกอบการในตลาดทุน” เช่น บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) หรือโบรกเกอร์ ก็สามารถใช้ดัชนี sSET เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ให้คำแนะนำ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อย่างที่บอกไปแล้วครับ
แต่ทุกเหรียญย่อมมีสองด้านครับ หุ้นขนาดเล็กหรือขนาดกลางเหล่านี้ตามธรรมชาติแล้วอาจมีความผันผวนของราคาสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่มากๆ เพราะอาจจะได้รับผลกระทบจากข่าวสารหรือปัจจัยต่างๆ ได้ง่ายกว่า ดังนั้น ผู้ลงทุนที่สนใจหุ้นในกลุ่ม sSET ควรจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทเป็นรายตัวอย่างละเอียดมากๆ และติดตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดนะครับ ไม่ใช่แค่เห็นว่าอยู่ในดัชนีแล้วจะดีเสมอไปนะ และถ้าอยากรู้ว่าปัจจุบันมีหุ้นตัวไหนอยู่ในดัชนี sset คือ บ้าง ก็เข้าไปดูได้ง่ายๆ เลยครับ ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) หรือในแอปพลิเคชัน Streaming ที่ใช้ดูกราฟหุ้นกันนั่นแหละครับ มีข้อมูลให้อัปเดตตลอด

นอกเหนือจาก SET Index ที่เป็นดัชนีภาพรวมของหุ้นทุกตัวในตลาดแล้ว หรือ SET50, SET100 ที่เรารู้จักกันดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาก็ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกเพียบเลยนะครับ อย่าง SETHD Index ที่เน้นหุ้นปันผลสูงๆ (Set High Dividend 30 Index) โดยดูจากหุ้น 30 ตัวใน SET100 ที่จ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ, SETTHSI Index (Thailand Sustainability Investment Index) ที่รวมหุ้นของบริษัทที่โดดเด่นเรื่องความยั่งยืนและ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล), SETWB Index ที่คัดหุ้น 30 ตัวเด่นๆ ใน 7 หมวดธุรกิจที่น่าจับตา มีการเติบโตสูง หรือ SETTRI Index ที่คำนวณ “ผลตอบแทนรวม” (Total Return) ทั้งจากราคาหุ้นและเงินปันผล ไม่ใช่แค่ราคาอย่างเดียว หรือแม้กระทั่ง mai Index ที่เป็นดัชนีสำหรับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับบริษัทขนาดเล็กมากๆ หรือสตาร์ทอัพ ที่มีเกณฑ์การจดทะเบียนแตกต่างจาก SET หลักๆ ครับ ดัชนีเหล่านี้ก็มีรอบการทบทวนรายชื่อทุก 6 เดือนเช่นกัน (ยกเว้นบางดัชนี) การรู้จักดัชนีหลากหลายแบบนี้ ทำให้เรามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน หรือใช้เป็นเกณฑ์วัดผลได้ตรงกับกลยุทธ์ของเรามากขึ้นครับ
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องข้อมูลแล้ว ก็ขอยกตัวอย่างข้อมูลล่าสุดของดัชนี sset คือ ที่เห็นจากข้อมูลที่ผ่านมาหน่อยนะครับ (อันนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 03 พฤษภาคม 2568 นะครับ ไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบันแบบเรียลไทม์) ตอนนั้นสถานะตลาดคือปิดแล้ว ข้อมูลล่าสุดคือเมื่อเวลา 03:04:52 น. ราคาเปิดอยู่ที่ 612.31 จุด ขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 615.25 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 611.45 จุด ปริมาณการซื้อขายรวมอยู่ที่ 377,418 พันหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 1,069.69 ล้านบาท ตัวเลขพวกนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ในแต่ละวัน ข้อมูลของดัชนี sSET ก็มีการเคลื่อนไหว มีตัวเลขเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปริมาณการซื้อขายบอกให้เรารู้สถานการณ์ของหุ้นกลุ่มนี้ครับ
อีกเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ในวงการตลาดทุนบ้านเราช่วงนี้ คือการนำเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ครับ ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขาจับมือกับ Google Cloud เลยนะครับ เพื่อเอาเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง” (Generative AI) มาพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และที่สำคัญคือการเข้าถึงข้อมูลในตลาดทุนให้ดีขึ้นด้วย เขาพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาชื่อว่า “ATLAS” ครับ ใช้ AI อย่าง Google Gemini 2.0 Flash ตัวเก่ง รวมกับเครื่องมืออื่นๆ อย่าง Vertex AI หรือ BigQuery เพื่อประมวลผล วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากๆ คิดดูสิครับ AI มันสามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยเรื่องการกำกับดูแล หรือแม้กระทั่งช่วยแปลรายงานการเงินจากไทยเป็นอังกฤษได้อย่างแม่นยำ หรือแปลงเสียงบรรยายในงานกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทจดทะเบียน (อย่างเช่น Opportunity Day) ให้เป็นข้อความ เพื่อให้เราค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น แถมยังสามารถค้นหา รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลได้จากหลายแหล่ง และให้คำตอบ โต้ตอบกับเราได้เป็นธรรมชาติเหมือนคุยกับคนจริงๆ เลยนะครับ เป้าหมายคืออยากขยายผลให้แพลตฟอร์ม ATLAS นี่ครอบคลุมไปถึงบริษัทจดทะเบียน และผู้ลงทุนอย่างเราๆ ในอนาคตด้วย ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้เต็มที่ และให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยครับ เรื่องเทคโนโลยีพวกนี้จะยิ่งทำให้การเข้าถึงข้อมูลหุ้นต่างๆ รวมถึงหุ้นในกลุ่ม sSET ง่ายและสะดวกสบายขึ้นไปอีกเยอะเลยครับ
สรุปแล้ว sset คือ ดัชนีที่สำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนที่อยากขยายขอบเขตการลงทุนออกไปสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดหลักทรัพย์ฯ มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราได้รู้จักหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น มีเกณฑ์ชัดเจนในการคัดเลือก และเป็นดัชนีอ้างอิงที่ดีในการวัดผลตอบแทน แม้ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีธรรมชาติที่ผันผวนสูงกว่าหุ้นใหญ่ แต่ถ้าศึกษาข้อมูลพื้นฐานดีๆ และเข้าใจธุรกิจ ก็อาจจะเจอโอกาสการลงทุนดีๆ ได้ครับ ประกอบกับเทคโนโลยีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพัฒนา ก็ยิ่งทำให้การเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ง่ายขึ้นไปอีกมาก ลองเข้าไปดูรายชื่อหุ้นในดัชนี sSET และศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ แต่อย่าลืมนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ โดยเฉพาะหุ้นที่มีความผันผวนสูงแบบนี้ครับ