เจาะลึก S&P 500: เข้าใจง่าย ลงทุนได้ กำไรดี?

ข่าวหุ้นอเมริกาช่วงนี้เป็นยังไงบ้างนะ? หลายคนอาจจะสงสัย โดยเฉพาะเวลาเห็นพาดหัวข่าวพูดถึงตัวเลขดัชนีนู่นนี่นั่นที่ดูเหมือนจะไกลตัวเหลือเกิน แต่เชื่อมั้ยครับว่า เรื่องพวกนี้ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดเยอะเลย

ในบรรดาดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาที่ว่ากันว่าสำคัญสุดๆ ดัชนีหนึ่งที่คนทั่วโลกจับตา และถือเป็น “ตัวชี้วัดสุขภาพ” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เลยก็คือ ดัชนี เอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ครับ ลองนึกภาพว่าดัชนีนี้เหมือนเป็นตะกร้าขนาดใหญ่ที่รวบรวมเอาหุ้นของ 500 บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกาไว้ด้วยกัน เหมือนเรากำลังดู “ทีมรวมดารา” ของเศรษฐกิจมะกันนั่นแหละ

แล้วทำไมต้องสนใจเจ้า เอสแอนด์พี 500 ตัวนี้ด้วยล่ะ? เหตุผลหลักๆ เลยคือ ขนาดและอิทธิพลของมัน ดัชนีนี้รวบรวมบริษัทที่มีมูลค่าตลาดรวมกันมหาศาล ครอบคลุมไปกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมด นั่นหมายความว่า ถ้า เอสแอนด์พี 500 ขยับไปทางไหน ส่วนใหญ่แล้วตลาดหุ้นอเมริกาก็จะไปทางนั้น แถมยังเป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) ที่กองทุนต่างๆ ทั่วโลกใช้เปรียบเทียบผลงานด้วยนะ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนหรือไม่ การทำความเข้าใจเรื่องนี้ไว้หน่อย ก็เหมือนมีแผนที่เศรษฐกิจโลกติดตัวไว้ครับ

ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ไม่ได้เพิ่งมีนะครับ แต่มีมาตั้งแต่ปี 1957 โน่นแน่ะ พัฒนามาจากดัชนีรุ่นก่อนๆ โดยบริษัทที่ชื่อ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (Standard & Poor’s) ซึ่งตอนนี้บริหารจัดการโดยบริษัท เอสแอนด์พี ดาว โจนส์ อินดิเซส (S&P Dow Jones Indices) ฟังดูซับซ้อนใช่ไหม? ไม่เป็นไรครับ หลักการทำงานของมันค่อนข้างตรงไปตรงมา

**แล้วเขาเลือกบริษัทไหนมาอยู่ในดัชนี เอสแอนด์พี 500 ล่ะ?**

ไม่ใช่ว่าบริษัทไหนใหญ่ก็เข้าไปอยู่ในตะกร้านี้ได้เลยนะครับ มันมีเกณฑ์คัดเลือกอยู่ หลักๆ ก็คือต้องเป็นบริษัทใหญ่ มีสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นสูง สำคัญคือต้องมีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา และที่น่าสนใจคือต้องมีผลกำไรเป็นบวกใน 4 ไตรมาสล่าสุดติดต่อกัน รวมถึงต้องจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักของสหรัฐฯ อย่าง ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค (NYSE) ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ) หรือตลาดอื่นๆ ที่กำหนด เขาจะมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อบริษัทในดัชนีทุกๆ ไตรมาส เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงสะท้อนภาพตลาดหุ้นปัจจุบันได้ดีที่สุด

วิธีคำนวณดัชนี เอสแอนด์พี 500 เขาใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด” (Market Cap Weighted) แปลง่ายๆ คือ ยิ่งบริษัทไหนมีมูลค่าตลาด (ราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด) เยอะ บริษัทนั้นก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทที่มีมูลค่าตลาดน้อยกว่า ลองนึกภาพตามว่าเรากำลังชั่งน้ำหนักผลไม้ในตะกร้า แอปเปิ้ลลูกใหญ่กว่าก็มีน้ำหนักมากกว่าส้มลูกเล็ก ทำให้การขยับเขยื้อนของแอปเปิ้ลส่งผลต่อน้ำหนักรวมทั้งตะกร้ามากกว่าส้ม เช่นกันครับ หุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่ตัว ก็มีพลังในการดันหรือฉุดดัชนี เอสแอนด์พี 500 ได้มากกว่าหุ้นของบริษัทที่เล็กกว่าเยอะเลย

**อะไรที่ขับเคลื่อนให้ เอสแอนด์พี 500 ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงนี้?**

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดัชนี เอสแอนด์พี 500 ช่วงนี้หนีไม่พ้นเรื่อง “เศรษฐกิจ” ครับ โดยเฉพาะสองตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาคือ “เงินเฟ้อ” และ “ตลาดแรงงาน”

ลองนึกภาพตามว่า ถ้าของทุกอย่างแพงขึ้นเรื่อยๆ (เงินเฟ้อสูง) คนก็มีกำลังซื้อน้อยลง บริษัทก็อาจจะขายของได้น้อยลง ทำให้ผลกำไรไม่ดี ที่สำคัญคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” (Fed) เขาจะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อสูงมาก เฟดก็จะขึ้นดอกเบี้ย เพื่อชะลอเศรษฐกิจและทำให้เงินเฟ้อลดลง

ในทางกลับกัน ถ้าตลาดแรงงานร้อนแรงเกินไป คนตกงานน้อยมาก ทุกคนมีงานทำ บริษัทแย่งกันจ้างงาน ก็อาจทำให้ค่าแรงสูงขึ้น ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งของเงินเฟ้อได้อีก ดังนั้น เฟดก็ต้องดูตัวเลขตลาดแรงงานด้วยว่ามัน “ตึงตัว” หรือ “คลายตัว” ลงแล้ว

ข่าวดีที่นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมาคือ ข้อมูลหลายอย่างเริ่มชี้ว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลงครับ อย่างตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ก็ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 โน่นเลยครับ

พร้อมๆ กันนั้น ตัวเลขจากตลาดแรงงานก็เริ่มส่งสัญญาณว่าคลายความร้อนแรงลงบ้างแล้ว เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่าปี ตัวเลขเหล่านี้ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า เฟดอาจจะ “ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด” ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วก็ได้ เพราะหน้าที่หลักของเฟดคือดูแลไม่ให้เงินเฟ้อสูงเกินไป และรักษาเสถียรภาพตลาดแรงงาน เมื่อตัวเลขเริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะไม่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกต่อไป ซึ่งการที่ดอกเบี้ยไม่ขึ้น หรือมีแนวโน้มที่จะคงที่หรือลดลงในอนาคต ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นครับ เพราะต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ จะไม่สูงขึ้น และการลงทุนในหุ้นก็จะดูน่าสนใจกว่าการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะสดใสไปหมดนะครับ ตลาดยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession Risk) อยู่เหมือนกัน เพราะการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างแล้ว รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อย่างนโยบายการค้า เช่น อัตราภาษีนำเข้า ก็ยังคงสร้างความไม่แน่นอนให้กับบริษัทข้ามชาติและการค้าโลกอยู่

**ใครคือ “ซูเปอร์สตาร์” ในตะกร้า เอสแอนด์พี 500?**

อย่างที่บอกว่าดัชนีนี้ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด นั่นแปลว่าบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ จะมีอิทธิพลสูงลิ่ว ลองแง้มดูกันหน่อยว่าในตะกร้า เอสแอนด์พี 500 นี่ มีใครเป็น “ซูเปอร์สตาร์” บ้าง

แน่นอนว่าภาคส่วนที่มีน้ำหนักสูงสุดในดัชนีคือ **ภาคส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ** ครับ บริษัทที่คุ้นชื่อกันดีและมีน้ำหนักสูงมากๆ ในดัชนีก็เช่น แอปเปิล (Apple), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อัลฟาเบท (Alphabet – บริษัทแม่ของ Google), อเมซอน (Amazon), เมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms – บริษัทแม่ของ Facebook) รวมถึงบริษัทผลิตชิปอย่าง อินวิเดีย (Nvidia) ครับ นอกจากนี้ยังมีบริษัทใหญ่ๆ ในภาคส่วนอื่นๆ อย่างการเงิน (เช่น เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค – JPMorgan Chase & Co.), การดูแลสุขภาพ, หรือสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) อยู่ด้วย

การที่หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวนี้มีน้ำหนักรวมกันสูงมากๆ ในดัชนี หมายความว่าถ้าหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ก็จะช่วยดันให้ดัชนี เอสแอนด์พี 500 โดยรวมปรับตัวขึ้นตามไปด้วยได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับถ้าหุ้นกลุ่มนี้ตกลง ก็จะฉุดดัชนีลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน มันเหมือนทีมฟุตบอลที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ไม่กี่คน ผลงานของพวกเขาจะส่งผลต่อทั้งทีมอย่างมาก

**แล้วเรื่องไกลตัวอย่าง ดัชนี เอสแอนด์พี 500 จะเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราในประเทศไทยล่ะ?**

แม้ เอสแอนด์พี 500 จะเป็นเรื่องของตลาดหุ้นอเมริกา แต่เชื่อมั้ยครับว่ามันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยอย่างอ้อมๆ ด้วยนะ

ลองนึกภาพว่าตลาดการเงินโลกมันเชื่อมโยงกันเหมือนโครงข่ายขนาดใหญ่ เมื่อตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ ขยับ (ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง) มันจะส่งผลต่อ “กระแสเงินทุน” ทั่วโลกครับ ถ้านักลงทุนเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกามีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะเมื่อคาดการณ์ว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนก็อาจจะไหลเข้าไปในตลาดหุ้นอเมริกามากขึ้น หรือถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกก็จะดีขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าตลาดหุ้นอเมริกาผันผวน หรือมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนทั่วโลกก็อาจจะระมัดระวังมากขึ้น ดึงเงินลงทุนกลับ หรือย้ายเงินไปอยู่ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุนเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อตลาดหุ้นและค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงประเทศไทยของเราด้วยครับ

นอกจากนี้ สุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการจากทั่วโลก ถ้าเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยได้เหมือนกัน หรือถ้านโยบายการค้าของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลง ก็อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั่วโลกที่ไทยเราเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย

สรุปแล้ว การที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ทั่วโลกใช้ ดัชนี เอสแอนด์พี 500 เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการจัดพอร์ตลงทุน การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้จึงสะท้อนมุมมองและความเชื่อมั่นของนักลงทุนระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยของเราครับ

**ถ้าฟังมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มสนใจ อยากจะ “ลองดู” กับ ดัชนี เอสแอนด์พี 500 บ้าง จะทำยังไงได้บ้าง?**

แน่นอนครับว่าเราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” ได้โดยตรง แต่เราสามารถลงทุนใน “ตราสาร” หรือ “ผลิตภัณฑ์” ที่อ้างอิงหรือติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี เอสแอนด์พี 500 ได้ครับ วิธีที่ได้รับความนิยมมากๆ สำหรับนักลงทุนรายย่อยคือการลงทุนผ่าน **กองทุนรวม** (Mutual Funds) หรือ **กองทุนอีทีเอฟ** (ETFs – Exchange Traded Funds) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี เอสแอนด์พี 500 หรือติดตามผลตอบแทนของดัชนีนี้โดยเฉพาะ

กองทุน ETF ที่อ้างอิง เอสแอนด์พี 500 มีหลายกองมากๆ ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก เช่น SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) หรือ Vanguard S&P 500 ETF (VOO) กองทุนเหล่านี้ซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ข้อดีคือช่วยกระจายความเสี่ยงได้ทันที เพราะเรากำลังลงทุนใน 500 บริษัทพร้อมๆ กัน (ในสัดส่วนตามดัชนี) โดยที่เราไม่ต้องไปไล่ซื้อหุ้นทีละตัว

สมมติว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่งที่อยากนำไปลงทุนระยะยาว การเลือกลงทุนในกองทุน ETF ที่อ้างอิง เอสแอนด์พี 500 ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจครับ เพราะเป็นการลงทุนในบริษัทชั้นนำของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในระยะยาว ดัชนีนี้ก็มีประวัติการเติบโตที่ค่อนข้างดีตามการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครับ อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกรูปแบบย่อมมีความเสี่ยง

สรุปแล้ว การทำความเข้าใจกับ เอสแอนด์พี 500 ไม่ใช่แค่เรื่องของนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเห็นภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกับชีวิตเราได้ดีขึ้นด้วยครับ การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้บอกอะไรเราได้หลายอย่าง ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สุขภาพตลาดแรงงาน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่เราอยู่ด้วยนั่นเองครับ

**⚠️ ข้อควรระวังในการลงทุน:**

การลงทุนในตราสารการเงินและเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมด ราคาอาจผันผวนรุนแรงจากปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน ข่าวสาร และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ควรศึกษา ทำความเข้าใจความเสี่ยง และอาจขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลที่แสดงในบทความนี้เป็นข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน และอาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์หรือไม่แม่นยำเสมอไป ผู้เขียนและผู้เผยแพร่จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลนี้ หากเงินลงทุนมีความสำคัญและเงินสดสำรองของคุณไม่สูงมากพอ ควรพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนนำเงินไปลงทุน

Leave a Reply