เจาะลึก! NASDAQ 100 คืออะไร? ทำไมใครๆ ก็พูดถึง

สวัสดีครับแฟนคอลัมน์การเงินที่รักทุกท่าน! วันนี้ผมนั่งจิบกาแฟอ่านข่าวหุ้นยามเช้า แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีหัวข้อหนึ่งที่หลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูบ่อยๆ แต่ก็อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ เจ้าสิ่งนั้นก็คือ “ดัชนี Nasdaq 100” ครับ

เพื่อนผมคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มสนใจลงทุนหุ้นอเมริกาเพิ่งจะไลน์มาถามผมเมื่อเช้านี้เองว่า “พี่ครับ ผมเห็นเขาพูดถึง nasdaq 100 คือ อะไรเหรอ? เห็นหุ้นเทคฯ ขึ้นแรงๆ มันเกี่ยวกันไหม?” ผมเลยคิดว่า งั้นมาเขียนอธิบายให้ทุกคนเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกันเรื่องซีรีส์เรื่องโปรดดีกว่า จะได้เห็นภาพชัดๆ ว่า nasdaq 100 คือ อะไร แล้วทำไมมันถึงมีความสำคัญกับโลกการลงทุนยุคนี้

ลองนึกภาพตามนะครับ ตลาดหุ้นอเมริกาใหญ่มาก มีบริษัทจดทะเบียนเป็นพันๆ แห่ง การจะดูภาพรวมทั้งหมดมันยากเกินไป เราเลยต้องมี “ดัชนี” (Index) คล้ายๆ กับเป็นตัวแทนของตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ให้เราดูได้ง่ายขึ้นว่าทิศทางเป็นยังไง ดัชนี Nasdaq 100 (NDX) เนี่ย ก็เหมือนเป็นดัชนีตัวท็อปของตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ดังมากๆ โดยเฉพาะเรื่องบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรม

แล้ว nasdaq 100 คือ อะไรกันแน่? ง่ายๆ เลยครับ มันคือการรวบรวมเอาหุ้นของ 100 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด ที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงิน (เช่น ธนาคาร ประกัน) ที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก มาคำนวณรวมกันครับ ทีนี้พอได้ยินคำว่า “ไม่ใช่กลุ่มการเงิน” หลายคนคงร้องอ๋อเลย เพราะบริษัทที่ดังๆ ในตลาดแนสแด็กส่วนใหญ่ก็คือบริษัทเทคโนโลยีนี่แหละครับ ดังนั้น เจ้าดัชนีตัวนี้ก็เลยกลายเป็นเหมือน “หัวหอก” หรือตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูงของโลกไปโดยปริยาย

ถ้าถามว่า nasdaq 100 คือ ตัวชี้วัดอะไร? มันก็เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสหรัฐฯ ครับ เวลาที่เราเห็นข่าวว่า “แนสแด็กพุ่ง” หรือ “แนสแด็กดิ่ง” ส่วนใหญ่ก็อ้างอิงถึงดัชนีตัวนี้แหละครับ เพราะบริษัทในดัชนีนี้หลายๆ บริษัทเป็นเหมือนผู้นำของโลกในด้านของตัวเอง ทั้งในวงการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร บริการ ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคยุคใหม่

ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วบริษัทไหนถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในคลับพิเศษ 100 บริษัทนี้ได้ล่ะ? มันก็มีเกณฑ์ของมันครับ ไม่ใช่ว่าอยากเข้าก็เข้าได้เลย หลักๆ ก็คือ
1. ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดแนสแด็ก และเป็นหุ้นบางประเภท เช่น ใบรับฝากหุ้น (ADR) หุ้นสามัญ หรือหุ้นติดตาม (Tracking Stock) ที่สำคัญคือ *ไม่ใช่* กองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และ *ไม่ใช่* บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการเงินครับ อันนี้เป็นจุดเด่นมากๆ ของดัชนีนี้
2. ต้องมีการซื้อขายสม่ำเสมอ มีปริมาณการซื้อขายรายวันขั้นต่ำที่กำหนดไว้ (ข้อมูลเดิมระบุ 200,000 หุ้นต่อวัน ซึ่งแสดงถึงสภาพคล่องที่สูง)
3. บริษัทต้องมีการถ่วงดุลและส่งรายงานให้ตลาดแนสแด็กอย่างสม่ำเสมอ ทั้งรายงานรายไตรมาสและรายงานประจำปี
4. บริษัทต้องไม่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีล้มละลาย หรือโดนฟ้องร้องจนอาจจะล้มละลายว่างั้นเถอะ ถ้าบริษัทไหนขาดคุณสมบัติเหล่านี้ไป ก็อาจจะโดนคัดออกได้ครับ ทำให้แน่ใจได้ว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีเป็นบริษัทที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องในระดับหนึ่ง

ลองมาดูกันว่าในดัชนี nasdaq 100 คือ มีบริษัทอะไรอยู่บ้าง คร่าวๆ ก็เป็นพวกชื่อที่คุ้นหูทั้งนั้นเลยครับ ซึ่งก็กระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม (แต่เทคโนโลยีเยอะสุด!)
* **กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology):** อันดับหนึ่งตลอดกาลก็ต้องมี Apple (AAPL) ที่ทำทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์, Microsoft (MSFT) เจ้าพ่อซอฟต์แวร์และคลาวด์, NVIDIA (NVDA) ผู้นำชิปสำหรับ AI และเกม, Intel (INTC), Adobe (ADBE), Broadcom (AVGO) และอื่นๆ อีกเพียบในวงการชิปและเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Applied Materials (AMAT), Advanced Micro Devices (AMD), ASML Holding (ASML), Micron Technology (MU), QUALCOMM (QCOM) พวกนี้คือเบื้องหลังเทคโนโลยีที่เราใช้ทุกวันนี้เลย
* **กลุ่มการสื่อสารและบริการ (Communication Services):** มีทั้ง Meta Platforms (META) เจ้าของ Facebook, Instagram, Alphabet (GOOGL/GOOG) เจ้าของ Google และ YouTube, Netflix (NFLX) เจ้าแห่งสตรีมมิ่ง รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมและสื่อสารอื่นๆ
* **กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Discretionary / Consumer Staples):** กลุ่มนี้มี Amazon.com (AMZN) ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซและคลาวด์มาเป็นตัวยืน, Tesla (TSLA) ผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า, Starbucks (SBUX) ร้านกาแฟดัง, Costco Wholesale (COST) ห้างค้าส่งขวัญใจมหาชน รวมถึงแบรนด์และร้านค้าปลีกอื่นๆ อีกมากมาย
* **กลุ่มการแพทย์และสุขภาพ (Health Care):** มีบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์และชีวเภสัชภัณฑ์ เช่น Amgen (AMGN), AstraZeneca (AZN), Moderna (MRNA) ที่ผลิตวัคซีน mRNA, Vertex Pharmaceuticals (VRTX) และอีกหลายบริษัทที่พัฒนาด้านสุขภาพและยา
* **กลุ่มอุตสาหกรรมและอื่นๆ (Industrials / Other):** แม้จะไม่ใช่กลุ่มหลัก แต่ก็มีบริษัทน่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเงินรวมอยู่ด้วย เช่น Honeywell International (HON), CSX Corporation (CSX) บริษัทขนส่งทางรถไฟ, รวมถึงบริษัทซอฟต์แวร์เฉพาะทางและอื่นๆ ที่มีความโดดเด่น

จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบของ nasdaq 100 คือ บริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตัวเองจริงๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครับ

แล้วดัชนี nasdaq 100 คือ คำนวณยังไง? เขาใช้ระบบที่เรียกว่า “Market Cap Weight” หรือการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดครับ แปลง่ายๆ คือ บริษัทไหนมีมูลค่าตลาด (จำนวนหุ้นคูณด้วยราคาหุ้น) เยอะกว่า ก็จะมีน้ำหนักในดัชนีมากกว่า ทำให้การขึ้นลงของราคาหุ้นบริษัทใหญ่ๆ จะส่งผลกระทบต่อดัชนีมากกว่าบริษัทเล็กๆ ที่อยู่ในดัชนีเดียวกัน แต่เขาก็มีกลไกป้องกันไม่ให้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดบางบริษัทมีอิทธิพลมากเกินไปครับ มีการกำหนดเพดานน้ำหนักสูงสุดไว้ (อย่างในข้อมูลก็ระบุว่าไม่เกิน 24%) และมีการปรับน้ำหนัก (Rebalance) ทุกไตรมาส และปรับรายชื่อบริษัทเข้าออก (Reconstitute) ปีละครั้ง เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพปัจจุบันได้ดีที่สุดครับ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญที่นักลงทุนอยากรู้ คือ อะไรที่ทำให้ราคาของ nasdaq 100 คือ เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ล่ะ? มีหลายปัจจัยเลยครับ แต่หลักๆ ที่มีผลกระทบมากๆ คือ:
* **นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด – Fed):** นี่คือตัวแปรสำคัญที่สุดตัวหนึ่งครับ โดยเฉพาะเรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีส่วนใหญ่เป็นหุ้น “Growth Stock” หรือหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง การเติบโตนี้มักจะอิงกับการลงทุนในอนาคต การกู้ยืม และความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวครับ พอเฟด “ขึ้นดอกเบี้ย” ต้นทุนทางการเงินของบริษัทก็สูงขึ้น แถมการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันก็จะลดลงด้วย ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มักจะโดนกดดันครับ ในทางกลับกัน ถ้าเฟดมีท่าทีว่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มนี้ก็มักจะปรับตัวขึ้นได้ดี เพราะต้นทุนทางการเงินลดลง และนักลงทุนก็มองเห็นมูลค่าการเติบโตในอนาคตชัดเจนขึ้น
* **อัตราเงินเฟ้อ (Inflation):** เงินเฟ้อที่สูงเกินไปก็เป็นอีกปัจจัยลบสำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ Growth Stock ครับ เพราะเงินเฟ้อสูงทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรงสูงขึ้น และยังกดดันให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าการขึ้นดอกเบี้ยไม่เป็นผลดีกับหุ้นกลุ่มนี้ครับ
* **ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี:** แน่นอนว่านี่คือปัจจัยพื้นฐานที่สุดครับ ถ้าบริษัทใหญ่ๆ ในดัชนี เช่น Apple, Microsoft, NVIDIA ประกาศผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น ราคาก็มีแนวโน้มจะขึ้นครับ แต่ถ้าผลประกอบการแย่กว่าคาด หรือมีข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน 100 บริษัทนี้ ก็อาจจะฉุดให้ดัชนีปรับตัวลงได้เหมือนกัน
* **ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความต้องการผู้บริโภค:** เศรษฐกิจโดยรวมของอเมริกาก็ส่งผลครับ ถ้าเศรษฐกิจดี ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย เช่น ยอดขายสินค้าของ Apple หรือยอดการใช้บริการคลาวด์ของ Amazon/Microsoft/Google ก็จะเพิ่มขึ้น

มองไปข้างหน้า แนวโน้มและโอกาสในการลงทุนในดัชนี nasdaq 100 คือ ยังน่าสนใจอยู่ครับ แม้จะมีความผันผวนตามปัจจัยต่างๆ ข้างต้น แต่ด้วยศักยภาพของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี ซึ่งหลายแห่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีนี้ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ครับ โดยเฉพาะช่วงที่เฟดมีแนวโน้มจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่ม Growth) ประกอบกับกระแสเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กำลังมาแรง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีเสมือนจริง/เติมเต็ม (AR/VR), รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งบริษัทในดัชนีนี้หลายแห่งเป็นผู้เล่นหลักในเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้ยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมากครับ

แล้วถ้าเราอยากจะลงทุนใน nasdaq 100 คือ ต้องทำยังไง? สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย มีช่องทางหลักๆ ที่สะดวกอยู่ครับ
1. **ลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Funds):** อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยมสูงครับ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งในไทยออกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี Nasdaq 100 ครับ กองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไปลงทุนต่อในกองทุน ETF ขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดอเมริกา เช่น Invesco NASDAQ 100 ETF หรือที่เรียกกันว่า QQQ ตัวอย่างกองทุนในไทยก็มีหลายกองเลยครับ เช่น BCAP-USND100, KKP NDQ, K-USXNDQ-A(A), KKP NDQ100-H, TLUSNDQ-H-A, SCBNDQ(A) เป็นต้น การลงทุนผ่านกองทุนรวมสะดวกตรงที่เราไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่อเมริกาเอง บลจ. จัดการให้หมดครับ แต่เราต้องพิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียม นโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) และผลการดำเนินงานย้อนหลังของแต่ละกองทุนด้วยนะครับ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบนี้มักจะมีความเสี่ยงสูงครับ อย่างกองทุนที่อิงดัชนี Nasdaq 100 ส่วนใหญ่จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 ครับ
2. **ซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFDs – Contracts for Difference):** อันนี้เป็นอีกวิธีที่เข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ ซึ่งอาจจะเป็นแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ต่างประเทศครับ CFDs เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาดัชนี เช่น Nasdaq 100 โดยตรง ข้อดีคือมักจะมีตัวเลือกในการใช้ Leverage (การใช้เงินจำนวนน้อยเพื่อควบคุมมูลค่าการลงทุนที่มากกว่า) ซึ่งอาจจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้สูงขึ้น แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่สูงขึ้นมากเช่นกันครับ วิธีนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการเทรด และเข้าใจความเสี่ยงของ Leverage เป็นอย่างดีครับ แพลตฟอร์มระหว่างประเทศบางแห่ง อย่างเช่น Moneta Markets ที่หลายคนอาจเคยเห็น ก็มีตัวเลือกการเทรด CFDs บนดัชนีต่างๆ รวมถึง Nasdaq 100 ด้วยเช่นกันครับ อย่างไรก็ตาม การเลือกแพลตฟอร์มก็ควรพิจารณาเงื่อนไขการเทรด ค่าธรรมเนียม และความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการด้วยครับ

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเคยได้ยินดัชนีอีกตัวที่ดังไม่แพ้กัน นั่นคือ S&P 500 แล้วมันต่างกับ nasdaq 100 คือ ตรงไหนล่ะ? เปรียบเทียบง่ายๆ ครับ S&P 500 ก็เหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านค้าหลากหลายประเภทสินค้ามากๆ กว่า 500 ร้าน (บริษัท) มาจากทั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และแนสแด็ก มีทั้งร้านขายของทั่วไป ร้านอาหาร ธนาคาร โรงพยาบาล บริษัทพลังงาน โรงงานผลิตต่างๆ เป็นตัวแทนของภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กระจายตัวกว่ามาก

ส่วน Nasdaq 100 เนี่ย เหมือนห้างสรรพสินค้าที่เน้นร้านค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี แกดเจ็ต นวัตกรรมล้ำๆ โดยเฉพาะ มีร้านค้า (บริษัท) 100 ร้าน และมาจากตลาดแนสแด็กทั้งหมด ที่สำคัญคือ *ไม่มี* ร้านประเภทธนาคารหรือการเงินครับ ทำให้มันกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูงกว่า S&P 500 ครับ แม้หุ้นตัวท็อปๆ 5-10 อันดับแรกอาจจะมีชื่อซ้ำกันอยู่บ้างในทั้งสองดัชนี แต่สัดส่วนและองค์ประกอบโดยรวมต่างกันครับ Nasdaq 100 จะมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 โดยเฉลี่ย เพราะเน้นไปที่หุ้นกลุ่มเติบโตสูง ซึ่งมักจะอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ใน S&P 500 ครับ

สรุปง่ายๆ ก็คือ nasdaq 100 คือ ดัชนีที่รวมบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในตลาดแนสแด็ก เป็นหัวหอกของหุ้นกลุ่มเติบโตสูง มีปัจจัยทั้งเศรษฐกิจ ผลประกอบการ และที่สำคัญคือ “นโยบายของเฟด” เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเคลื่อนไหว สามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมในไทยหรือ CFDs แต่ก็ต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงด้วยครับ

⚠️ หากคุณเป็นนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น หรือยังมีเงินทุนหมุนเวียนไม่สูงนัก การลงทุนในดัชนีที่มีความผันผวนสูงอย่าง Nasdaq 100 ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านมากๆ ทำความเข้าใจว่า nasdaq 100 คือ อะไรจริงๆ พิจารณาว่าระดับความเสี่ยงนี้เหมาะกับคุณไหม และอาจจะเริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ หรือแบ่งเงินลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโดยรวม เพื่อกระจายความเสี่ยงนะครับ อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจว่า nasdaq 100 คือ อะไร และทำให้เห็นภาพรวมของดัชนีสำคัญตัวนี้ในตลาดหุ้นอเมริกาชัดเจนขึ้นนะครับ พบกันใหม่ในคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ!

Leave a Reply