เจาะลึก Nasdaq วันนี้: โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยต้องรู้!

เคยสงสัยไหมว่า ไอ้เจ้าตลาดหุ้นอเมริกาที่เราได้ยินข่าวทุกวัน โดยเฉพาะชื่อแปลกๆ อย่าง “Nasdaq” (แนสแด็ก) มันสำคัญกับชีวิตเรายังไง? ทั้งๆ ที่เราอยู่เมืองไทย ไม่ได้เทรดหุ้นอเมริกาโดยตรงด้วยซ้ำ วันนี้เราในฐานะเพื่อนที่คลุกคลีกับเรื่องการเงิน จะมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ ว่า Nasdaq วันนี้ หรือจริงๆ แล้วคือตลาดหุ้นแนสแด็ก มันคืออะไร ทำไมถึงมีอิทธิพลไปทั่วโลก และส่งผลกระทบถึงเราได้ยังไงบ้าง

จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้มีแค่ตลาดเดียวนะ เพื่อนๆ อาจจะคุ้นเคยกับชื่อ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ แต่ก็มีอีกตลาดที่มาแรงมากๆ โดยเฉพาะกับบริษัทสายเทคโนโลยี นั่นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) นั่นเอง ความเจ๋งของแนสแด็กคือเป็นตลาดแรกๆ ที่ใช้ระบบซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ ลองนึกภาพการซื้อขายหุ้นผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคแรกๆ อ่ะนะ ทำให้การจับคู่คำสั่งซื้อขายรวดเร็วฉับไว แตกต่างจากตลาดแบบเดิมที่อาจจะยังมีคนยืนตะโกนซื้อขายกันอยู่เลย

พอพูดถึง แนสแด็ก เรามักจะหมายถึง ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิต (Nasdaq Composite Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นของบริษัททั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดนี้เลย แต่ที่เราได้ยินบ่อยๆ และเป็นที่นิยมใช้อ้างอิงมากกว่า คือ ดัชนีแนสแด็ก 100 (Nasdaq 100 Index) ดัชนีตัวนี้จะเลือกเอา 100 บริษัท ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในแนสแด็ก มาเป็นตัวแทน โดยจะตัดกลุ่มบริษัทการเงินออกไปนะ แปลว่าถ้าพูดถึง Nasdaq 100 ก็คือกลุ่มบริษัทชั้นนำที่ไม่ใช่แบงก์ ไม่ใช่โบรกเกอร์ ส่วนใหญ่ก็เลยเป็นบริษัทเทคโนโลยี สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

แล้วทำไม ดัชนี Nasdaq วันนี้ ถึงถูกจับตาดูมากๆ? คำตอบง่ายๆ คือ เพราะบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ไงล่ะ ลองคิดถึง Apple ที่เราใช้ไอโฟน Alphabet (บริษัทแม่ Google) ที่เราใช้ค้นหาข้อมูล หรือ Meta Platforms (Facebook เดิม) ที่เราใช้เชื่อมต่อกับเพื่อนๆ ไปจนถึงบริษัทมาแรงอย่าง Nvidia ที่ทำชิปให้กับวงการเกม รถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่ AI ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก และอยู่ใน Nasdaq ทั้งนั้นเลย

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบริษัทเหล่านี้ มีผลอย่างมหาศาลต่อดัชนี Nasdaq อย่างเช่น ช่วงที่ผ่านมา (อ้างอิงจากข้อมูลที่ผมได้รับมา บางช่วงคือปี 2023-2024) เราได้เห็นตัวอย่างชัดๆ อย่างบริษัท Nvidia ที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก รายได้และกำไรพุ่งกระฉูด! พอข่าวดีแบบนี้ออกมา ราคาหุ้น Nvidia ก็พุ่งขึ้นไปเป็นจรวดเลย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ฉุดให้ดัชนี Nasdaq โดยรวมปรับตัวขึ้นตามไปด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งในกลุ่มนี้ ก็สามารถกำหนดทิศทางของตลาด Nasdaq วันนี้ ได้เลย

แต่ชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านบวกนะ ตลาด Nasdaq ก็โดนลมพัดจากปัจจัยภายนอกได้เหมือนกัน ตัวแปรสำคัญตัวแรกคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) นี่แหละ เวลาที่เฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย (เหมือนเวลาแบงก์ชาติไทยขึ้นดอกเบี้ยนั่นแหละ) มันมักจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะบริษัทพวกนี้มักจะต้องใช้เงินกู้เยอะเพื่อขยายธุรกิจ และการที่ดอกเบี้ยแพงขึ้นก็ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ การขึ้นดอกเบี้ยยังทำให้นักลงทุนมองว่า การนำเงินไปฝากแบงก์หรือซื้อพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น น่าสนใจกว่าการเอาเงินไปลงทุนในหุ้นที่อาจจะมีความเสี่ยงสูง ทำให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไปบ้าง ส่งผลให้ Nasdaq ปรับตัวลง

อีกเรื่องที่เคยสร้างความปั่นป่วนสุดๆ คือ สงครามการค้า (โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน) ย้อนไปช่วงที่มีประเด็นสงครามการค้าหนักๆ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปมา ทำให้หลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานการผลิตหรือตลาดอยู่ในจีน หรือต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน ได้รับผลกระทบอย่างแรง ความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนกังวล และเทขายหุ้นออกมา ดัชนี Nasdaq ก็ร่วงลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน พอมีข่าวดีเกี่ยวกับการเจรจาการค้า หรือมีข้อตกลงเกิดขึ้นชั่วคราว ตลาดหุ้นก็มักจะดีดตัวขึ้นรับข่าวทันที เห็นไหมว่าแค่ข่าวสงครามการค้าก็มีผลต่อ Nasdaq วันนี้ ได้ขนาดไหน

นอกจากเรื่องอัตราดอกเบี้ยและสงครามการค้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายบ้านใหม่ ตัวเลขการจ้างงาน หรือแม้แต่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่าเศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าเศรษฐกิจดี ก็มีแนวโน้มที่บริษัทต่างๆ จะมีผลประกอบการดี แต่ถ้าตัวเลขออกมาแย่ ก็เป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง และอาจจะเทขายหุ้นออกมา

แม้แต่ข่าวเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธนาคารบางแห่งในสหรัฐฯ (อย่างที่เคยมีประเด็นกับ First Republic Bank) ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม รวมถึง Nasdaq ได้เหมือนกัน เพราะมันสร้างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบการเงิน ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างการลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่เคยสร้างความตกใจให้นักลงทุน แต่ตลาดก็มักจะค่อยๆ ซึมซับข่าวและปรับตัวได้ในที่สุด

แล้วสำหรับนักลงทุนในบ้านเรา ที่อยากมีส่วนร่วมกับตลาด Nasdaq วันนี้ ทำได้หลายวิธีนะ ที่ง่ายที่สุดคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ อย่าง กองทุนที่ไปลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 โดยตรง หรือกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ซึ่งผู้จัดการกองทุนในไทยหลายๆ เจ้า (อย่างเช่น บลจ.กรุงศรี ก็เคยออกกองทุนที่ลงทุนใน Nasdaq 100 โดยตรง) ก็มีมุมมองและกลยุทธ์ในการลงทุนในตลาดนี้ การลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นวิธีที่สะดวก เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการให้ แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงของกองทุนนั้นๆ ให้ดีก่อนนะ

อีกวิธีคือการลงทุนโดยตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลก ซึ่งก็มีหลายทางเลือกให้เลือก เช่น แพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง หรืออาจจะเป็นการซื้อขายสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ที่อ้างอิงกับดัชนี Nasdaq 100 หรือหุ้นรายตัวในนั้น วิธีนี้จะมีความยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะการใช้ “มาร์จิน” หรือเงินกู้ในการเทรด ที่สามารถทำให้กำไรหรือขาดทุนทวีคูณได้อย่างรวดเร็ว

โดยสรุปแล้ว ตลาด Nasdaq วันนี้ เป็นตลาดที่น่าสนใจมากๆ เพราะเป็นศูนย์รวมของบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโลก แต่ก็เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง (ลองดูค่าความผันผวนของหุ้นอย่าง Nvidia ที่สูงมากๆ) ราคาขึ้นเร็วก็ลงเร็วได้เช่นกัน มันได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งผลประกอบการของบริษัท นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และประเด็นทางการค้าต่างๆ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของตลาด Nasdaq วันนี้ และตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะเข้าลงทุนหรือไม่ หรือควรรอจังหวะแบบไหน

ถ้าคุณสนใจลงทุนในตลาด Nasdaq หรือตลาดหุ้นต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านกองทุนรวมหรือลงทุนเอง สิ่งสำคัญคือการศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทที่จะลงทุน ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวมา และที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้เสมอ

⚠️ **คำเตือนเรื่องความเสี่ยง:** การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศและผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน เช่น CFD หรือการใช้มาร์จิน มีความเสี่ยงสูงมาก คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ และอาจสูญเสียเงินมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้น ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป รวบรวมจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงินหรือคำชักชวนให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ใดๆ และอาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่อัปเดตตลอดเวลา ผู้เขียนและแหล่งข้อมูลที่ใช้อ้างอิงจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนของคุณเอง การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

Leave a Reply