สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน!
วันนี้ผมอยากชวนคุยเรื่องตลาดหุ้นที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ หรืออาจจะกำลังสนใจอยากจะเข้าไปลงทุนอยู่ นั่นก็คือตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาครับ เวลาพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ย มันก็มีหลายชื่อให้ปวดหัวใช่ไหมครับ ทั้ง NYSE (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก), Nasdaq, S&P 500, Dow Jones อะไรกันเต็มไปหมดเลย วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในตลาดนี้กันครับ นั่นก็คือ nasdaq คืออะไร แล้วทำไมถึงสำคัญนัก

เพื่อนสนิทคนหนึ่งเพิ่งไลน์มาถามผมสดๆ ร้อนๆ เลยว่า “พี่คะ Nasdaq คืออะไรเหรอคะ? เห็นข่าวบอกหุ้นอเมริกาขึ้นๆ ลงๆ นี่เกี่ยวกันไหม?” คำถามนี้น่าสนใจครับ เพราะหลายคนอาจจะรู้จักชื่อ แต่ยังไม่เห็นภาพรวมว่า ตลาดแห่งนี้มีบทบาทอย่างไรในโลกการเงิน และเชื่อมโยงกับการลงทุนของเราได้อย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว ตามผมมาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ สไตล์บ้านๆ ครับ
Nasdaq คืออะไร? ทำไมต้องรู้จัก?
ลองนึกภาพตลาดหุ้นบ้านเราอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ใช่ไหมครับ ที่อเมริกาก็มีตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ อยู่หลายแห่ง แต่ที่โดดเด่นและแตกต่างมากๆ แห่งหนึ่งก็คือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Market) ครับ ตลาดนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ความเจ๋งของ Nasdaq ในยุคนั้นคือ เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลกที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการซื้อขายแบบเต็มตัว ไม่ต้องตะโกนซื้อขายกันในหลุมค้า (Trading Pit) เหมือนสมัยก่อน ทำให้การซื้อขายรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้นเยอะเลยครับ
ปัจจุบัน Nasdaq ถือเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา วัดจากมูลค่าตลาดรวมของบริษัทที่มาจดทะเบียน แต่รู้ไหมครับว่า ในแง่ของปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) Nasdaq มีปริมาณสูงที่สุดในสหรัฐฯ เลยนะ นั่นแปลว่า สภาพคล่องสูงปรี๊ด ใครอยากซื้ออยากขายหุ้นที่นี่ ทำได้คล่องตัวมากๆ ครับ
Nasdaq มีชื่อเสียงมากๆ ในการเป็นแหล่งรวมตัวของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) ครับ บริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ Google), Tesla, NVIDIA, Meta Platforms (Facebook) ส่วนใหญ่อยู่ใน Nasdaq ทั้งนั้นเลยครับ ตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนบน Nasdaq มากกว่า 3,000 แห่งแล้ว เยอะมากๆ ครับ โครงสร้างการซื้อขายของ Nasdaq จะมีผู้เล่นที่เรียกว่า ดีลเลอร์ (Dealer) หรือ Market Maker ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเสนอราคาซื้อเสนอราคาขาย เพื่อให้การซื้อขายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สรุปง่ายๆ ว่า nasdaq คืออะไร ก็คือ ตลาดหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ที่เป็นบ้านของบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูงชื่อดังระดับโลกนั่นเองครับ
**รู้จัก Nasdaq แล้ว ต้องรู้จัก “ดัชนี” สำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย**
พอพูดถึงตลาดหุ้น เราก็มักจะได้ยินคำว่า “ดัชนี” ใช่ไหมครับ ดัชนีหุ้นก็เหมือนกับมาตรวัดที่บอกแนวโน้มภาพรวมของราคาหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือตลาดหุ้นโดยรวม ณ ช่วงเวลานั้นๆ ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจหลักๆ มีอยู่ 3 ตัวครับ คือ S&P 500, Nasdaq Composite/Nasdaq 100, และ Dow Jones แต่ละตัวก็มีส่วนประกอบและวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน สะท้อนภาพตลาดในมุมมองที่ต่างกันไปครับ
มาดูทีละตัวกันครับ
1. **ดัชนี S&P 500:** จัดทำโดยบริษัท Standard & Poor’s ดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้น 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครับ โดยรวมทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และ Nasdaq วิธีคำนวณจะใช้แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization Weighted) คือ หุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ๆ ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดเล็กกว่า ดัชนี S&P 500 ถูกยกให้เป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโดยรวมได้ดีที่สุดครับ เพราะครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรม
2. **ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA):** นี่คือดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา สร้างขึ้นโดย Charles Dow ผู้ก่อตั้ง Wall Street Journal ประกอบด้วยหุ้นของ 30 บริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ครับ วิธีคำนวณเป็นแบบถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น (Price Weighted) คือ หุ้นตัวไหนมีราคาสูง ก็มีผลต่อดัชนีมากกว่า หุ้นใน Dow Jones เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีประวัติยาวนาน อย่างเช่น Boeing, Coca-Cola, McDonald’s, Nike ครับ ดัชนีนี้เป็นที่รู้จักและถูกอ้างอิงในข่าวสารบ่อยๆ แต่เนื่องจากมีหุ้นแค่ 30 ตัว อาจจะไม่ได้สะท้อนภาพรวมตลาดทั้งหมดได้ดีเท่า S&P 500
3. **ดัชนี Nasdaq Composite:** ดัชนีตัวนี้จะรวมหุ้น *ทุกตัว* ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กครับ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในสหรัฐฯ หรือต่างประเทศ มีจำนวนมากกว่า 3,000 บริษัทเลยทีเดียว การคำนวณก็แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 ครับ ดัชนี Nasdaq Composite จึงสะท้อนภาพรวมของบริษัททั้งหมดที่อยู่ในตลาด Nasdaq ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูงครับ
4. **ดัชนี Nasdaq 100:** อันนี้เป็น “ดัชนีย่อย” ของ Nasdaq Composite ครับ เป็นตัวที่นักลงทุนให้ความสนใจมากๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบหุ้นเทคฯ ดัชนี Nasdaq 100 ประกอบด้วยหุ้น 100 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq *โดยไม่รวมบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงิน* (เช่น ธนาคาร ประกัน) หุ้น 100 ตัวนี้แหละครับ คือหัวหอกของกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทนวัตกรรมที่มีการเติบโตสูง ดัชนีนี้คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเช่นกันครับ (แต่มีเพดานจำกัดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวไว้ด้วย เพื่อไม่ให้หุ้นตัวใหญ่มากๆ มีอิทธิพลมากเกินไป) เวลาคนพูดถึง “หุ้น Nasdaq” ในบริบทของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่ หลายครั้งมักจะหมายถึงหุ้นที่อยู่ในดัชนี Nasdaq 100 นี่แหละครับ

จะเห็นว่าแต่ละดัชนีก็มีหน้าตาและองค์ประกอบต่างกันไป การดูดัชนีหลายๆ ตัว จะช่วยให้เราเห็นภาพตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในมุมที่หลากหลายมากขึ้นครับ
**นักลงทุนไทย อยากลงทุนใน Nasdaq ต้องทำยังไง?**
มาถึงเรื่องที่เราสนใจที่สุดครับ แล้วคนไทยอย่างเราๆ อยากลงทุนใน nasdaq คืออะไร ทำยังไงล่ะ? ไม่ต้องบินไปเปิดพอร์ตที่อเมริกาเองให้ยุ่งยากครับ ปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจของ Nasdaq ได้หลายวิธีเลยครับ
วิธีที่นิยมและเข้าถึงง่ายมากๆ สำหรับนักลงทุนรายย่อย ก็คือ **การลงทุนผ่านกองทุนรวมในประเทศไทย** ครับ มีหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในบ้านเรา ออกกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 ครับ กองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะไปลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) ขนาดใหญ่ที่อ้างอิงดัชนี Nasdaq 100 อีกที อย่างเช่น Invesco NASDAQ 100 ETF ซึ่งเป็น ETF ที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงในอเมริกาครับ
การลงทุนผ่านกองทุนรวมมีข้อดีคือ เราไม่ต้องไปเลือกหุ้นรายตัวเองครับ ผู้จัดการกองทุนจะเป็นคนดูแลการลงทุนให้ และเรายังสามารถกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัวใน Nasdaq 100 ได้โดยใช้เงินลงทุนไม่สูงมากครับ มีหลายกองทุนให้เลือกจากหลาย บลจ. ลองศึกษาดูว่ากองทุนไหนนโยบายตรงกับเรา ค่าธรรมเนียมเป็นอย่างไรครับ
นอกจากกองทุนรวมแล้ว บางท่านอาจเลือกที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรงกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทย หรือกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาต ซึ่งวิธีนี้เราจะสามารถเลือกซื้อหุ้นรายตัวใน Nasdaq ได้โดยตรงเลยครับ แต่ก็ต้องมีความเข้าใจในการซื้อขาย และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยตัวเองมากขึ้นครับ
**มองตลาดผ่าน “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ผลประกอบการสำคัญแค่ไหน?**
เวลาลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหน ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยครับ โดยเฉพาะในตลาดอย่าง Nasdaq ที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้มีอิทธิพลต่อ Sentiment หรือความรู้สึกของนักลงทุนในตลาดมากๆ ครับ
อย่างในช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา (เป็นการประกาศผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ปี 2022) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็คึกคักทีเดียวครับ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใน Nasdaq อย่างบริษัทใหญ่ๆ เช่น Tesla ที่ประกาศผลกำไรออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มากๆ (Surprise Earnings) ข่าวดีแบบนี้แหละครับ ช่วยหนุน Sentiment หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยให้ปรับตัวขึ้นได้อย่างน่าสนใจในตลาด Nasdaq
นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การติดตามผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีน้ำหนักในดัชนี Nasdaq 100 มีความสำคัญอย่างไรครับ เพราะผลประกอบการที่ดีหรือไม่ดี สามารถส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีและราคาหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันได้
**บทสรุปและข้อคิดทิ้งท้าย**
หวังว่าตอนนี้ทุกท่านคงจะพอเห็นภาพแล้วนะครับว่า nasdaq คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรในฐานะตลาดหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูง และรู้จักดัชนีสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง S&P 500, Dow Jones, Nasdaq Composite และ Nasdaq 100 ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในตลาดนี้ การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้น Nasdaq 100 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเข้าถึงง่ายครับ ช่วยให้เราได้กระจายการลงทุนไปยังบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกได้อย่างสะดวก
อย่างไรก็ตามครับ การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่าหุ้นพื้นฐานทั่วไปเช่นกันครับ ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจมีความผันผวนสูงมาก ขึ้นแรงได้ก็ลงแรงได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การแข่งขัน และนโยบายของภาครัฐ
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจมีความผันผวนสูง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และควรประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้เสมอครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่กำลังศึกษาเรื่องตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ nasdaq คืออะไร นะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติ ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!