
ช่วงนี้หลายคนคงได้ยินคำว่า ‘หุ้นสหรัฐ’ หรือ ‘ตลาดหุ้นอเมริกา’ บ่อยๆ ใช่ไหมครับ แล้วไอ้ที่พูดถึงกันบ่อยๆ อย่าง หุ้น s&p 500 เนี่ย มันคืออะไรกันแน่นะ ทำไมใครๆ ก็ให้ความสนใจ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาพอสมควร จะขออาสาพาไปทำความรู้จักแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์คนคุยกัน ไม่ต้องมีศัพท์แสงซับซ้อนมากมายครับ
เปรียบเทียบง่ายๆ หุ้น s&p 500 ก็เหมือนเป็นดัชนีสุขภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ ที่ทรงอิทธิพลที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกาเลยล่ะครับ ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยีนะ แต่รวมไปถึงบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การเงิน สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน และอื่นๆ อีกเพียบ คิดภาพตามเหมือนเราไปตรวจสุขภาพประจำปี ดัชนีนี้ก็บอกภาพรวมสุขภาพเศรษฐกิจของอเมริกาผ่านบริษัทชั้นนำเหล่านี้ครับ ถ้าดัชนีขึ้น ก็เหมือนสุขภาพโดยรวมแข็งแรง แต่ถ้าดัชนีลง ก็อาจจะมีอะไรที่น่ากังวล
ทีนี้คุณอาจสงสัยว่า 500 บริษัทนี้เขาเลือกกันยังไง? ไม่ได้เอาบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 อันดับแรกแบบเป๊ะๆ นะครับ มีคณะกรรมการของ S&P Dow Jones Indices ที่คัดเลือกโดยดูหลายอย่างประกอบกัน ทั้งขนาดของบริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) สภาพคล่องในการซื้อขายว่าเข้าออกง่ายแค่ไหน บริษัทต้องมีผลกำไรต่อเนื่อง และต้องเป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลักอยู่ในสหรัฐฯ การคำนวณดัชนีนี้ก็ใช้ระบบ ‘ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด’ (Market Cap Weight) หมายความว่า บริษัทไหนใหญ่มาก มีมูลค่าตลาดสูงมาก ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทที่เล็กกว่าในดัชนีเดียวกัน เขาจะมีการปรับปรุงรายชื่อและน้ำหนักของบริษัทในดัชนีเป็นประจำทุกไตรมาสเพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพตลาดปัจจุบันอยู่เสมอ

ลองนึกภาพตามว่าในตะกร้าของ หุ้น s&p 500 มีอะไรอยู่บ้างครับ อย่างที่บอกว่ามีถึง 11 ภาคส่วนเศรษฐกิจ แต่ที่ครองสัดส่วนใหญ่สุดตอนนี้หนีไม่พ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) นี่แหละครับ บริษัทที่เราคุ้นหูคุ้นตากันดีและอยู่ในดัชนีนี้ก็เช่น Apple (แอปเปิล), Microsoft (ไมโครซอฟท์), Amazon (อเมซอน), Nvidia (เอ็นวิเดีย), และ Alphabet Inc. (บริษัทแม่ของ Google หรือ กูเกิล) แค่เห็นชื่อก็น่าจะพอนึกภาพออกว่าบริษัทเหล่านี้มีอิทธิพลต่อโลกและตลาดหุ้นขนาดไหน นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทใหญ่ๆ จากภาคส่วนอื่นๆ เช่น Berkshire Hathaway (บริษัทของวอร์เรน บัฟเฟตต์), Johnson & Johnson (ดูแลสุขภาพ) หรือ Procter & Gamble (สินค้าอุปโภคบริโภค) อีกด้วยครับ การลงทุนใน S&P 500 ก็เลยเหมือนได้กระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ บริษัท หลายๆ อุตสาหกรรมชั้นนำไปในตัว
เมื่อพูดถึงผลตอบแทน ดัชนี S&P 500 เป็นที่รู้จักว่าในระยะยาวให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (ถึงช่วงปลายปี 2024) ดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 11.09% ต่อปีเลยทีเดียวครับ ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนระยะยาว แน่นอนว่าในแต่ละปี ผลตอบแทนย่อมแตกต่างกันไปและมีความผันผวนอยู่เสมอ อย่างในปี 2023 ที่ผ่านมา หุ้นบางตัวในดัชนีก็พุ่งแรงมากๆ เช่น Nvidia ที่ปรับขึ้นกว่า 245% หรือ Meta Platforms ที่ขึ้นเกือบ 200% ในทางกลับกันก็มีหุ้นที่ปรับตัวลงบ้างเหมือนกันครับ ส่วนข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นปี 2024 ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนรวม YTD (Year-to-Date) สูงถึง 28.35% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนั้นๆ ครับ
ทีนี้คำถามยอดฮิตคือ เราจะลงทุนใน หุ้น s&p 500 ได้ยังไง? เพราะจริงๆ แล้วเราซื้อ ‘ดัชนี’ ตรงๆ ไม่ได้ครับ ดัชนีเป็นแค่ตัวเลขที่บอกภาพรวมเท่านั้น แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ ‘อ้างอิง’ หรือ ‘ล้อตาม’ ดัชนีนี้ได้ เครื่องมือที่นิยมและเข้าถึงง่ายสำหรับนักลงทุนรายย่อยก็คือ กองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ซึ่งกองทุนพวกนี้จะไปลงทุนในหุ้น 500 ตัวตามสัดส่วนของดัชนี S&P 500 ให้เราโดยอัตโนมัติครับ

ในประเทศไทยเองก็มีหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่ออกกองทุนที่ไปลงทุนใน S&P 500 ให้เราเลือกลงทุนได้สะดวกครับ เช่น กองทุน ASP-S&P500 ของ บลจ. แอสเซท พลัส, กองทุน SCBS&P500 ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ หรือ กองทุน K-US500X-A(A) ของ บลจ. กสิกรไทย เป็นต้น หรือถ้าใครอยากลงทุนตรงในตลาดอเมริกาเลยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือแพลตฟอร์มการลงทุนที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ กองทุน ETF ที่อ้างอิง S&P 500 ที่ดังมากๆ และมีขนาดใหญ่ก็คือ Vanguard S&P 500 ETF (VOO) ครับ กองทุนเหล่านี้เป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุนใน S&P 500 โดยไม่ต้องไปไล่ซื้อหุ้นทีละตัวครบ 500 บริษัทเอง ซึ่งยุ่งยากมากๆ
อย่างไรก็ตามครับ ก่อนจะตัดสินใจลงทุนใน หุ้น s&p 500 ผ่านกองทุนหรือ ETF สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความเสี่ยง’ ครับ การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหน หรือดัชนีอะไรก็ตาม มีความเสี่ยงสูงอยู่เสมอ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลยนะครับ เพราะราคาของดัชนีและกองทุนที่อ้างอิงนั้นขึ้นลงตามปัจจัยต่างๆ ทั่วโลก ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ การเมือง นโยบายของธนาคารกลาง เหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือแม้แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอง การใช้เครื่องมือที่มีอัตราทด (Leverage) อย่างเช่น S&P 500 Futures หรือการซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (Margin) ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัวเลยครับ
ดังนั้น ก่อนลงทุน ไม่ว่าจะตามคำแนะนำของใคร หรือเห็นว่าผลตอบแทนในอดีตน่าสนใจแค่ไหน ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบมากๆ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเองว่าเหมาะสมกับเครื่องมือนี้ไหม และที่สำคัญคือควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่มีใบอนุญาตเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงกับสถานการณ์การเงินของคุณครับ คำแนะนำคลาสสิกจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอย่าง คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือแนวคิดที่เน้นการลงทุนระยะยาวแบบเน้นดัชนีจากหนังสืออย่าง A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel มักจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงและมองภาพยาวๆ ซึ่งก็เป็นปรัชญาที่สอดคล้องกับการลงทุนใน S&P 500 ครับ นักลงทุนชาวไทยที่ติดตามข่าวสารการลงทุน อาจจะเคยได้ยินมุมมองเกี่ยวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ S&P 500 จาก คุณพอล ภัทรพล หรือ คุณพาร์ค คทาวุฒิ ซึ่งก็ช่วยให้เห็นภาพรวมและมุมมองที่หลากหลายได้เช่นกัน
และอีกเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญคือ อย่าลืมตรวจสอบวันหยุดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยนะครับ เพราะบางทีวันหยุดของอเมริกาก็ไม่ใช่แค่วันหยุดราชการปกติ แต่มีวันหยุดตลาดหุ้นเฉพาะด้วย จะได้วางแผนการซื้อขายหรือการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ถูก ไม่มานั่งงงว่าทำไมซื้อขายไม่ได้ครับ
โดยสรุปแล้ว หุ้น s&p 500 หรือ ดัชนี S&P 500 ก็เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นอเมริกา เป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำ 500 แห่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ การลงทุนในดัชนีนี้ผ่านกองทุนรวมหรือ ETF เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยงและได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลกไปพร้อมๆ กันครับ ถ้าคุณกำลังมองหาช่องทางการลงทุนต่างประเทศ การศึกษาเรื่อง S&P 500 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ ครับ
แต่จำไว้เสมอว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีเงินทุนจำกัด หรือไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง การลงทุนแบบนี้เหมาะกับคนที่เข้าใจความเสี่ยงและพร้อมจะถือลงทุนระยะยาวครับ
⚠️ การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาและเข้าใจความเสี่ยงของตัวเองเสมอ และไม่ควรนำเงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงครับ