เคยสงสัยไหมว่า หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น Apple ที่อยู่ในมือ, Google ที่เราใช้หาข้อมูล, หรือ Amazon ที่เราใช้ช้อปปิ้ง บริษัทพวกนี้เขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ไหน แล้วเราในฐานะนักลงทุนธรรมดาๆ จะเข้าไปลงทุนในหุ้นเจ๋งๆ แบบนี้ได้ยังไงบ้างนะ?
คำตอบอยู่ใน “ดัชนี Nasdaq 100” นี่แหละครับ ดัชนีนี้เปรียบเสมือนตะกร้าที่รวมเอาหุ้นของ 100 บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ซึ่งเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยทีเดียว ลองนึกภาพบริษัทที่เราคุ้นเคยอย่าง Microsoft, Meta (เจ้าของ Facebook/Instagram), Tesla, Nvidia (ที่ทำชิป AI สุดฮิตตอนนี้) ไปจนถึงแบรนด์ที่เราเดินเข้าออกบ่อยๆ อย่าง Pepsi หรือ Starbucks เขาก็อยู่ในดัชนีนี้ด้วยนะ ฟังแล้วน่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ
แต่ก่อนจะกระโจนเข้าไปลงทุน เรามาทำความรู้จักเจ้า ดัชนี Nasdaq 100 ให้ละเอียดขึ้นอีกนิดกันดีกว่าครับ

**ดัชนี Nasdaq 100 คืออะไร? ทำไมถึงน่าจับตา?**
อย่างที่บอกไป เจ้าดัชนีนี้เขาเน้นบริษัทเทคโนโลยีเป็นหลักครับ มากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทในดัชนีเป็นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำของโลกนี่แหละ ทำให้เวลาพูดถึง หุ้น nasdaq 100 คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงหุ้นเทคฯ อเมริกาก่อนเลย ซึ่งนี่ก็เป็นเสน่ห์ของเขา เพราะบริษัทเหล่านี้มักจะมีศักยภาพในการเติบโตสูง มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เหมือนเป็นตัวแทนของบริษัทที่กำลังจะขับเคลื่อนโลกอนาคตเลยก็ว่าได้ การคำนวณดัชนีนี้จะใช้แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัท (แต่มีปรับนิดหน่อย เพื่อไม่ให้บริษัทใหญ่สุดๆ อย่าง Apple หรือ Microsoft มีอิทธิพลเยอะเกินไป) ทำให้ภาพรวมของดัชนีสะท้อนผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นนำได้เป็นอย่างดี
เมื่อเทียบกับดัชนีอื่นๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง Dow Jones ที่เน้นบริษัทเก่าแก่ พื้นฐานแน่นๆ 30 ตัว หรือ S&P 500 ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมถึง 500 บริษัท เจ้า ดัชนี Nasdaq 100 จะมีความผันผวนมากกว่าหน่อย เพราะน้ำหนักไปอยู่ที่หุ้นกลุ่มเดียวเยอะนี่แหละครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้ากลุ่มเทคฯ เขาวิ่งดี ผลตอบแทนก็มีโอกาสพุ่งแรงกว่าดัชนีอื่นได้เหมือนกันนะ
**เจาะลึกบริษัทเด่นในตะกร้า Nasdaq 100**
ในตะกร้าใบนี้เต็มไปด้วย ‘ดาวเด่น’ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีครับ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Amazon, Meta Platforms (Facebook), Alphabet (Google), Netflix, Tesla, Nvidia, PepsiCo, Starbucks, Moderna, Biogen และอื่นๆ อีกมากมาย จริงๆ แล้วมีแค่ 4 บริษัทเท่านั้นที่อยู่ในดัชนีนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งเลยนะ คือ Apple, Costco, Intel และ PACCAR นอกนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่น่าสนใจคือแค่ 3 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Apple, Microsoft และ Amazon รวมกันก็มีน้ำหนักในดัชนีเกือบ 30% แล้วครับ นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบริษัทเหล่านี้ในตลาด หุ้น nasdaq 100 เลย

**อนาคตของ Nasdaq 100 จะเป็นยังไง? ปัจจัยอะไรที่ขับเคลื่อน?**
มาถึงคำถามสำคัญ แล้วตอนนี้เจ้า หุ้น nasdaq 100 ยังน่าสนใจอยู่ไหม? จากข้อมูลและมุมมองของนักวิเคราะห์หลายสำนัก (อย่าง Bloomberg หรือ Goldman Sachs) มองว่า ดัชนีนี้ยังมีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องได้จากหลายปัจจัยเลยครับ
ประการแรกเลยก็คือ ตัวบริษัทเอง กลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนีส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานแข็งแกร่งมากๆ แม้บางบริษัทอาจเจอความท้าทายเรื่องรายได้ชะลอตัวบ้าง แต่ผลประกอบการล่าสุดที่ออกมาก็มักจะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ด้วยซ้ำครับ
ประการที่สอง ปัจจัยเศรษฐกิจ โดยเฉพาะท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า Fed ที่ผ่านมา Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงมากเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยนี่แหละที่ไปกดดันหุ้นกลุ่มเติบโตอย่างเทคฯ ครับ แต่จากข้อมูลการประชุมล่าสุด (ที่ขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 5.00% – 5.25% ซึ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี) ตลาดส่วนใหญ่มองว่า Fed น่าจะใกล้จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้วล่ะ (มีโอกาสมากกว่า 90% ที่จะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป) และอาจจะเริ่ม *ลดดอกเบี้ย* ในช่วงครึ่งปีหลังด้วยซ้ำ (คาดว่าอาจจะลดได้ถึง 3 ครั้ง) เพราะอัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอลงแล้วไงครับ สถานการณ์แบบนี้ถือเป็น ‘ข่าวดี’ สำหรับตลาดหุ้น โดยเฉพาะ หุ้น nasdaq 100 ที่อ่อนไหวต่อเรื่องอัตราดอกเบี้ย พออัตราดอกเบี้ยไม่สูงแล้ว มูลค่าในอนาคตของบริษัทเทคฯ ก็ดูน่าสนใจขึ้นมาทันทีเลยครับ มีข้อมูลในอดีตชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว 1 ปีหลังจากที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนประมาณ 11.5% เลยนะ
ประการที่สาม นี่คือยุคของเทคโนโลยีใหม่ๆ ครับ ลองดูรอบตัวสิ AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Bard AI ก็มาแรงสุดๆ ซึ่งเบื้องหลังพลังประมวลผลพวกนี้ก็คือชิปประมวลผลขั้นสูงอย่างของ Nvidia นี่แหละ ไหนจะเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (AR/VR) อย่างแว่น Oculus Quest ของ Meta หรือรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับของ Tesla เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วครับ มันกำลังจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทใน ดัชนี Nasdaq 100 นี่แหละคือกลุ่มที่เป็นผู้นำด้านนี้โดยตรง ศักยภาพในการสร้างรายได้และเติบโตในระยะยาวจากเทคโนโลยีแห่งอนาคตจึงสูงมากๆ ครับ
นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ อย่างภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค ตัวเลข GDP ความเชื่อมั่นผู้บริโภค หรือแม้แต่ข่าวสารและคำแนะนำจากนักวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นตัวใหญ่ๆ ก็มีผลต่อราคา หุ้น nasdaq 100 ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครับ

**ผลตอบแทนในอดีตของ Nasdaq 100 เป็นยังไงบ้าง?**
ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีต ดัชนี Nasdaq 100 ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1985 ก็ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยเหมือนกันครับ ที่จำได้แม่นๆ เลยก็คือช่วงฟองสบู่อินเทอร์เน็ต (Dotcom Bubble) ตอนปี 2000 ดัชนีเคยพุ่งไปสูงกว่า 4,700 จุด แต่พอฟองสบู่แตกก็ร่วงลงมาแรงมากๆ กว่า 83% เหลือแค่ 825 จุดในปี 2002 โหดจริงๆ ครับ พอฟื้นตัวมาหน่อยก็เจอวิกฤติการเงินโลกปี 2008 อีก แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าดัชนีนี้ก็เป็น ‘ขาขึ้น’ มาตลอดเลยครับ แม้จะมีช่วงที่ย่อตัวบ้าง เช่น ตอนสงครามการค้าปี 2018 หรือช่วงโควิด-19 ระบาดในปี 2020 แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็วและไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้เรื่อยๆ เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 15,700 จุดในปี 2020 และทำจุดสูงสุดอีกครั้งช่วงปลายปี 2021 เลยทีเดียว
ถ้าดูตัวเลขผลตอบแทนในอดีต (ซึ่งเป็นเพียงข้อมูลในอดีต ไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตนะครับ) จะเห็นว่า ดัชนี Nasdaq 100 ให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ในระยะกลางถึงยาว เช่น
* 1 ปีที่ผ่านมา (จากข้อมูลอ้างอิง): เกือบ 50%
* 5 ปีที่ผ่านมา: เพิ่มขึ้นกว่า 200%
* 10 ปีที่ผ่านมา: เพิ่มขึ้นกว่า 550%
* ตั้งแต่ก่อตั้ง: เพิ่มขึ้นกว่า 830%
โดยเฉลี่ยแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนต่อปีประมาณ 21.5% เลยนะ ถือว่าสูงมากๆ ครับ แสดงให้เห็นถึงพลังการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างชัดเจน
**สนใจลงทุนใน Nasdaq 100 ต้องทำยังไง?**
สำหรับนักลงทุนที่สนใจอยากลงทุนใน ดัชนี Nasdaq 100 บ้าง มีหลายวิธีให้เลือกครับ วิธีที่ง่ายและนิยมที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไปคือ การลงทุนผ่าน ‘กองทุนรวม’ หรือ ‘ETF (Exchange Traded Fund)’ ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี Nasdaq 100 โดยตรงครับ กองทุนพวกนี้จะไปซื้อหุ้น 100 ตัวในสัดส่วนใกล้เคียงกับดัชนี ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนเคลื่อนไหวตามดัชนีไปด้วย เราก็เหมือนได้ลงทุนในหุ้นเทคฯ ชั้นนำ 100 ตัวพร้อมกันไปเลย ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการเลือกหุ้นเป็นรายตัวด้วยครับ ในไทยก็มีหลาย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ที่มีกองทุนลักษณะนี้ให้เลือกลงทุนครับ อย่างเช่น กองทุน BCAP-USND100, KKP NDQ หรือกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ซึ่งกองทุนประเภทนี้มักจะไปลงทุนในกองทุน ETF หลักในต่างประเทศอีกที เช่น กองทุนเปิดเคฯ ก็ไปลงทุนใน Invesco NASDAQ 100 ETF และมีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทไม่น้อยกว่า 75% ด้วย
นอกจากกองทุนรวม/ETF แล้ว อีกวิธีหนึ่งก็คือการซื้อขายหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีโดยตรงเลย ซึ่งอาจจะต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือใช้บริการแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ สำหรับคนที่สนใจซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง แพลตฟอร์มระหว่างประเทศอย่าง Moneta Markets ก็เป็นอีกทางเลือกที่มีเงื่อนไขหลากหลายให้พิจารณา อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นรายตัวต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ อย่างละเอียดมากกว่านะครับ
**⚠️ สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจก่อนลงทุน: ความเสี่ยงมีอยู่เสมอ!**
มาถึงจุดที่สำคัญที่สุด การลงทุนใน หุ้น nasdaq 100 หรือตราสารทางการเงินใดๆ ก็ตาม ‘มีความเสี่ยงสูง’ นะครับ ไม่ได้มีแต่ด้านดีๆ อย่างเดียวที่เราเห็นจากผลตอบแทนในอดีกอย่างเดียว การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือแม้แต่เงินดิจิทอลที่อาจเกี่ยวข้องทางอ้อม ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุน ‘บางส่วน’ หรือ ‘ทั้งหมด’ ได้เลยครับ
ตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใน ดัชนี Nasdaq 100 มีความผันผวนสูงมาก ราคาขึ้นลงแรงได้ง่ายๆ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล กฎหมาย หรือแม้แต่เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ข้อมูลหรือราคาที่เราเห็นบนเว็บไซต์ต่างๆ อาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์ หรือแม่นยำ 100% เสมอไปนะครับ บางครั้งราคาที่แสดงอาจเป็นราคาจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ซึ่งอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดหลักทรัพย์ได้ (เป็นราคาอ้างอิง ไม่เหมาะกับการใช้ตัดสินใจซื้อขายแบบเรียลไทม์เร็วๆ)
ถ้ามีการใช้มาร์จิ้น (การยืมเงินโบรกเกอร์มาซื้อขาย) ความเสี่ยงก็จะยิ่งทวีคูณเข้าไปอีกครับ
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน หุ้น nasdaq 100 ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือผ่านกองทุน ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดีมากๆ ครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้อง ‘ศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้’ รู้ว่าเราลงทุนไปเพื่ออะไร รับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน และถ้าไม่แน่ใจจริงๆ การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ อย่าเพิ่งเชื่อข้อมูลใดๆ โดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบนะครับ และต้องจำไว้ว่า ข้อมูลต่างๆ ที่เราอ่านเจอ อาจไม่ได้รับประกันความถูกต้องสมบูรณ์ หรืออาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา Fusion Media หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่อ้างอิงก็จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียจากการลงทุนที่อาศัยข้อมูลเหล่านั้นนะครับ
สรุปแล้ว หุ้น nasdaq 100 เป็นดัชนีที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่มองหาโอกาสเติบโตไปกับบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก มีประวัติผลตอบแทนในอดีตที่น่าประทับใจ และปัจจัยในอนาคตก็ยังดูมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงที่สูงกว่าตลาดโดยรวม การลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF เป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน หัวใจสำคัญคือการ ‘ศึกษา ทำความเข้าใจ และบริหารความเสี่ยง’ ให้ดีที่สุดครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนนะครับ