เจาะลึก “ดาว โจ”: ลงทุนตามดาว หรือต้องระวังแรงเหวี่ยง?

เฮ้ทุกคน! ช่วงนี้ได้ยินใครต่อใครพูดถึงคำว่า “ดาว โจ” กันบ้างไหมครับ? หรือเห็นข่าวพาดหัวใหญ่ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกาแล้วรู้สึกว่า… เอ๊ะ! นี่มันเรื่องอะไรกันนะ แล้วมันเกี่ยวกับเงินในกระเป๋าของเรายังไงบ้าง? ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋าที่คลุกคลีในวงการมาพอสมควร ผมอยากจะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเจ้า “ดาว โจ” นี้ในภาษาบ้านๆ ที่ไม่ต้องขมวดคิ้วเวลาอ่านกันครับ

บางทีเราอาจจะคิดว่าเรื่องหุ้น เรื่องดัชนีต่างๆ มันซับซ้อนยุ่งยาก เป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว การเคลื่อนไหวของตลาดใหญ่ๆ อย่างที่อเมริกา โดยเฉพาะ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือที่คนชอบเรียกสั้นๆ ว่า ดาว โจ เนี่ย มีผลกระทบเชื่อมโยงมาถึงบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น การรู้เรื่องพวกนี้ไว้บ้าง ก็เหมือนกับการมีแผนที่คร่าวๆ ในมือเวลาที่เราต้องเดินเข้าป่าการเงินอันกว้างใหญ่

ดาว โจ คืออะไรกันแน่?

ลองนึกภาพว่า ดาว โจ เนี่ย เป็นเหมือนกับ “สมุดพก” หรือ “ใบสรุปผลการเรียน” ของ 30 บริษัทมหาชนที่ใหญ่มากๆ และมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมและชีวิตผู้บริโภคในอเมริกาครับ ไม่ใช่ทุกบริษัทในอเมริกาจะอยู่ในนี้ได้นะ ต้องเป็นพวกตัวท็อปๆ หน่อย ซึ่งการที่ดัชนีตัวนี้ขึ้นหรือลง ก็พอจะบอกเราได้คร่าวๆ ว่าสุขภาพโดยรวมของบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้เป็นยังไง เศรษฐกิจอเมริกาในภาพใหญ่กำลังไปในทิศทางไหน

มาดู “เกรด” ล่าสุดของสมุดพกเล่มนี้กันหน่อย ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ ดาว โจ อยู่ที่ประมาณ 40,326.77 จุด ดูเหมือนตัวเลขจะสูงเนอะ แต่ถ้าเทียบกับการเปลี่ยนแปลงใน 24 ชั่วโมงล่าสุด ก็มีขยับลดลงไปเล็กน้อย (-0.29%) ครับ ทีนี้พอมองภาพใหญ่ขึ้นนิดนึง ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ดูดีขึ้นหน่อย (+1.50%) แต่ถ้ามองย้อนไปหนึ่งเดือนที่แล้ว ก็ยังติดลบอยู่เหมือนกัน (-2.35%) เอาเป็นว่าในช่วงสั้นๆ ถึงกลางๆ เนี่ย มันก็มีความผันผวนอยู่พอสมควร ขึ้นๆ ลงๆ ให้ใจหายใจคว่ำได้บ้าง แต่ถ้ามองยาวไปทั้งปีแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ ก็ยังถือว่าปรับเพิ่มขึ้นมาได้นะครับ (+5.19%) ซึ่งอันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ลงทุนมาตั้งแต่ต้นปี

ในบรรดา 30 บริษัทตัวท็อปนี้ ก็มีทั้งที่ผลการดำเนินงานโดดเด่นมากๆ และที่กำลังเผชิญความท้าทาย อย่างในรอบปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัท Walmart (WMT) ที่ทำธุรกิจค้าปลีกใหญ่ยักษ์ ก็พุ่งขึ้นไปเกือบ 60% (+59.59%) เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นดาวเด่นของ ดาว โจ ในปีนี้เลย ส่วนบริษัทที่ดูจะเหนื่อยหน่อยก็อย่างเช่น Nike (NKE) ที่ราคาหุ้นลดลงไปเกือบ 40% (-39.07%) ในรอบปี นี่แหละครับ คือภาพสะท้อนว่าแม้แต่ในกลุ่มบริษัทชั้นนำ ก็ยังมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป

**แล้วเราจะลงทุนใน “ดาว โจ” ได้ยังไง?**

คำตอบคือ เราไม่สามารถไป “ซื้อ” ดัชนี ดาว โจ ได้โดยตรงนะครับ เพราะมันเป็นแค่ตัวเลขที่คำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ แต่เราสามารถลงทุนในสิ่งที่ “อิง” กับดัชนีนี้ได้ เช่น กองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นทั้ง 30 ตัว หรือตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ที่อ้างอิงกับค่าของดัชนีนี้ ซึ่งพวกนี้ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย และมีความซับซ้อนแตกต่างกันไป ยังไงก็ต้องศึกษาให้ดีก่อนนะครับ หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบของ ดาว โจ เลยก็ได้ ถ้าชอบบริษัทไหนเป็นพิเศษ

สัญญาณทางเทคนิคเบื้องต้นที่ดูจากตัวชี้วัดต่างๆ ตอนนี้ก็เหมือนจะบอกว่าตลาดอยู่ในสภาวะที่ “ผสมผสาน” ครับ คือบางเครื่องมือก็ชี้ว่าน่าจะไปต่อ บางเครื่องมือก็บอกว่าให้ระวังๆ ไว้ก่อน พูดง่ายๆ คือยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนมากๆ ว่าจะพุ่งแรงไปทางไหน ซึ่งอันนี้ก็สะท้อนความไม่แน่นอนในตลาดช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี

**เบื้องหลังตัวเลข ดาว โจ: เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นยังไงบ้าง?**

อย่างที่บอกไปครับว่า ดาว โจ มันสะท้อนภาพเศรษฐกิจอเมริกาด้วย ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของเขาจึงมีผลกับดัชนีนี้มากๆ ผมขอยกตัวอย่างจากข้อมูลช่วงประมาณวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมานะครับ ตอนนั้นมีข่าวดีจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาสองตัว

ตัวแรกคือ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) ของสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขตอนนั้น (451,000 ราย ณ วันที่ 4 ก.ย.) ถือว่าลดลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือนเลยครับ และตัวเลขเฉลี่ยในรอบ 4 สัปดาห์ก็อยู่ในระดับต่ำด้วย อันนี้บ่งชี้ว่าบริษัทในอเมริกายังไม่ได้มีการปลดคนงานออกจำนวนมาก ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดแรงงานและกำลังซื้อของผู้บริโภคครับ

ตัวที่สองคือ ยอดขาดดุลการค้า (Trade Deficit) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ตัวเลขออกมาที่ 4.28 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากๆ ครับ สาเหตุหลักมาจากยอดนำเข้าของอเมริกาลดลง ในขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่ยอดขาดดุลการค้าลดลงแบบนี้ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 เติบโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ครับ

คุณอาจจะถามว่า ตัวเลขพวกนี้มันสำคัญยังไง? ลองนึกภาพว่าเศรษฐกิจเหมือนเครื่องยนต์นะครับ ตัวเลขสวัสดิการว่างงานก็เหมือนเกจวัดสุขภาพคนทำงาน ถ้าคนยังมีงานทำ ไม่ถูกเลย์ออฟเยอะๆ ก็ยังมีเงินจับจ่ายใช้สอย เครื่องยนต์ก็ยังเดินได้ดี ส่วนยอดขาดดุลการค้าก็เหมือนบัญชีรายรับรายจ่ายของประเทศ ถ้าขายของให้ต่างชาติได้เยอะๆ และซื้อของจากต่างชาติน้อยลง สภาพคล่องในประเทศก็ดีขึ้น ก็เหมือนเติมน้ำมันดีๆ ให้เครื่องยนต์ทำงานครับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีแบบนี้ก็เลยเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนให้ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ซึ่งเป็นที่ซื้อขายหุ้น ดาว โจ และดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นได้ในวันนั้นครับ

**ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องจับตา: จากท่านประธานเฟดฯ ถึงแบงก์ยุโรป**

แต่เหรียญมักมีสองด้านเสมอครับ แม้จะมีข่าวดีจากตัวเลขเศรษฐกิจ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่คอย “จำกัด” การปรับขึ้นของตลาดเหมือนกัน อย่างในวันนั้นเอง (9 ก.ย.) ตลาดก็มีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของภาคธนาคารในยุโรปอยู่ครับ มีข่าวว่าธนาคารบางแห่งอาจจะต้องระดมทุนเพิ่ม ซึ่งความกังวลนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้ไม่สุดครับ

นอกจากเรื่องแบงก์ยุโรปแล้ว สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาไม่กะพริบเลยก็คือ การกล่าวสุนทรพจน์ (Speech) ของนายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ครับ เหมือนเป็นการรอฟังทิศทางนโยบายการเงินจากผู้นำสูงสุดของระบบการเงินโลกเลยก็ว่าได้ ว่าเขาจะส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยไปทางไหน จะขึ้นอีกไหม หรือจะเริ่มคิดถึงการลดดอกเบี้ยแล้วหรือยัง ทุกถ้อยคำของท่านประธานมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมหาศาลครับ

แล้วยังมีเรื่องผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ รวมถึงแนวโน้มธุรกิจที่กำลังมาแรงอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และ รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่คอยขับเคลื่อนราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องครับ

**สรุปแล้ว “ดาว โจ” บอกอะไรเรา?**

เรื่องราวของ ดาว โจ ในช่วงนี้ ก็เหมือนกับภาพวาดที่มีหลายสีผสมกันครับ มีทั้งสีสว่างจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดูดี มีสีเทาๆ จากความกังวลเรื่องเสถียรภาพแบงก์ในยุโรป มีสีสันจากเทรนด์ธุรกิจใหม่ๆ และมีภาพที่ต้องลุ้นว่าจะออกมาเป็นแบบไหนจากการส่งสัญญาณของธนาคารกลาง

สำหรับนักลงทุนอย่างเรา การดู ดาว โจ หรือดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ ไม่ใช่แค่การดูตัวเลขขึ้นๆ ลงๆ เพื่อเดาว่าจะซื้อหรือขายเมื่อไหร่ แต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจว่า เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกนี้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน ผลประกอบการของบริษัท และแม้กระทั่งปัจจัยภายนอกอย่างความกังวลในภาคธนาคารของอีกซีกโลกหนึ่ง

การลงทุนไม่ใช่เรื่องของการเก็งกำไรระยะสั้นจากการเคลื่อนไหวรายวันนะครับ แต่อยู่ที่การทำความเข้าใจภาพใหญ่ มองยาวๆ และตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูลและความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

⚠️ ข้อควรจำเสมอคือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และที่สำคัญมากๆ หากเงินสภาพคล่อง (Liquidity) ของคุณยังไม่สูงพอ หรือเป็นเงินที่คุณต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็ควรประเมินให้ดีก่อนที่จะนำเงินส่วนนั้นมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนนะครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง ดาว โจ ได้ง่ายขึ้นและเห็นภาพรวมของปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดนะครับ ไว้มีเรื่องการเงินสนุกๆ มาเล่าอีก คอยติดตามกันนะครับ!

Leave a Reply