
เอาล่ะครับ นั่งจิบกาแฟยามบ่าย คุยกันเรื่องการเงินแบบสบายๆ สไตล์คอลัมนิสต์เพื่อนซี้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ “คุณคนดัง” แห่งโลกการลงทุนฝั่งอเมริกา ที่ชื่อคุ้นหู แต่บางทีก็แอบงงๆ ว่าเขาคือใครกันแน่… ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง ดัชนี S&P 500 ครับ หรือที่บางคนเรียกสั้นๆ ว่า SPX
เคยไหมครับ? เวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือบทวิเคราะห์การลงทุน มักจะมีคำว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกตาม ดัชนี S&P 500” หรือ “นักลงทุนจับตา ดัชนี S&P 500 หลังตัวเลขเงินเฟ้อออก” ประโยคพวกนี้วนเวียนอยู่ตลอด จนบางทีก็สงสัยว่าไอ้เจ้า ดัชนี s&p 500 คือ อะไร ทำไมมันถึงสำคัญนักสำคัญหนา? เหมือนเป็นหัวหน้าห้อง หรือกัปตันทีมฟุตบอล ที่ผลงานของเขาสะท้อนถึงภาพรวมของทั้งทีมเลยทีเดียว
จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเนี่ย ถือเป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งหมด เงินทองไหลเวียนมหาศาล มีบริษัทระดับโลกจดทะเบียนอยู่เพียบ ดังนั้น การเคลื่อนไหวของตลาดนี้จึงมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเราด้วย และตัวที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาได้ดีที่สุด ก็คือ ดัชนี S&P 500 นี่แหละครับ
ถ้าจะให้เปรียบง่ายๆ ดัชนี s&p 500 คือเหมือนกับการรวบรวมหุ้นของ “บริษัทดาวเด่น” หรือ “ตัวท็อป” ของสหรัฐฯ ประมาณ 500 บริษัท ที่มีขนาดใหญ่มากๆ มีสภาพคล่องสูง และมีฐานการดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกา มาคำนวณรวมกันเพื่อดูว่าภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งไอ้ประมาณ 500 บริษัทนี้เนี่ย มันคิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมกันกว่า 80% ของตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดเลยนะครับ เรียกได้ว่า ถ้า S&P 500 ขึ้น ก็แปลว่าบริษัทใหญ่ๆ ส่วนใหญ่กำลังไปได้สวย ถ้า S&P 500 ลง ก็แปลว่าบริษัทใหญ่ๆ กำลังเผชิญความท้าทาย
ดัชนีนี้ก่อตั้งมานานมากแล้วครับ ตั้งแต่ปี 1957 โดยบริษัท Standard & Poor’s (ปัจจุบันคือ S&P Dow Jones Indices) การคำนวณเขาไม่ได้แค่เอาหุ้น 500 ตัวมารวมราคาเฉลี่ยกันเฉยๆ นะครับ เขาใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted) ซึ่งหมายความว่า หุ้นของบริษัทที่ใหญ่มากๆ มีมูลค่าตลาดสูงๆ เนี่ย ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าหุ้นของบริษัทที่เล็กลงมาหน่อย พูดง่ายๆ คือ Apple, Microsoft, Amazon พวกนี้ ถ้าขึ้นหรือลงแรงๆ ก็มีผลต่อ S&P 500 มากกว่าบริษัทอื่นๆ ในดัชนีเดียวกัน
หลายคนอาจจะเคยได้ยิน ดัชนีหุ้นอเมริกาตัวอื่นๆ ด้วย เช่น ดัชนี Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100) ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก หรือ ดัชนี Dow Jones Industrial Average (ดาวโจนส์) ที่เป็นดัชนีเก่าแก่ มีหุ้นแค่ 30 ตัว แต่เป็นบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ?
เปรียบเทียบง่ายๆ นะครับ ดัชนี S&P 500 เหมือนภาพถ่ายมุมกว้างที่เก็บภาพ “บริษัทใหญ่เกือบทั้งหมด” ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งเทคโนโลยี การเงิน การดูแลสุขภาพ พลังงาน หรือสินค้าฟุ่มเฟือย กระจายตัวค่อนข้างดีเลย อย่างข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2024 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะมีสัดส่วนสูงสุดก็จริง (ประมาณ 33%) แต่กลุ่มอื่นๆ ก็ยังมีน้ำหนักที่น่าสนใจ

ส่วน ดัชนี Nasdaq 100 จะเหมือนภาพถ่ายที่ “ซูมเข้าไป” เฉพาะบริษัทใหญ่ๆ 100 แห่ง (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) ที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบริษัทเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ นั่นแหละครับ สัดส่วนหุ้นจะกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยีสูงมากๆ อย่างหุ้น Top 5 ใน Nasdaq 100 มีน้ำหนักรวมกันกว่า 46% ในขณะที่ Top 5 ใน S&P 500 มีน้ำหนักรวมประมาณ 23% (ข้อมูล ณ กลางปี 2023) ทำให้ Nasdaq 100 มีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 ได้ในบางช่วงเวลา
ขณะที่ ดัชนี Dow Jones เนี่ย เป็นเหมือน “อัลบั้มรูปเก่า” ที่เลือกมาแค่ 30 รูปเด่นๆ จากยุคเก่าก่อน แม้จะมีปรับเปลี่ยนรูปบ้างตามยุคสมัย แต่จำนวนรูปน้อยกว่า และวิธีการคำนวณก็ต่างออกไป (คิดตามราคาหุ้น ไม่ใช่ตามมูลค่าตลาด) ทำให้ Dow Jones อาจจะไม่ได้สะท้อนภาพรวมตลาดได้ครอบคลุมเท่า S&P 500 ครับ
ด้วยความที่ S&P 500 มันครอบคลุมบริษัทใหญ่ๆ หลากหลายอุตสาหกรรมได้ดีนี่แหละครับ ทำให้นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยังแนะนำให้นักลงทุนทั่วไปที่ไม่ได้มีเวลามานั่งเลือกหุ้นเอง ลงทุนในกองทุนดัชนีที่อ้างอิงกับ S&P 500 ในระยะยาว เพราะเชื่อว่ามันจะให้ผลตอบแทนที่ดีตามการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกาในระยะยาว
แล้วผลตอบแทนมันดีแค่ไหนล่ะ? สถิติบอกว่าตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1957 ดัชนี S&P 500 (รวมเงินปันผล) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10.16% เลยนะครับ ส่วนในช่วง 10 ปีล่าสุด (ถึงเดือนธันวาคม 2024) ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีก็ประมาณ 11.09% ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากๆ และลองดูแค่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงปลายเดือนธันวาคม 2024 เนี่ย S&P 500 ก็ให้ผลตอบแทนไปแล้วกว่า 28.35% (เป็นส่วนราคา 26.63% และเงินปันผล 1.72%) นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นดัชนีที่คนทั่วโลกจับตามอง
ที่น่าคิดอีกอย่างคือ มีงานวิจัยของ SPIVA (ณ สิ้นปี 2022) ชี้ให้เห็นว่า กองทุน Active Fund หรือกองทุนรวมที่ผู้จัดการกองทุนพยายามเลือกหุ้นเพื่อเอาชนะตลาดเนี่ย กว่า 87% ในระยะ 5 ปี และกว่า 91% ในระยะ 10 ปี กลับให้ผลตอบแทนแย่กว่าการลงทุนตามดัชนี S&P 500 เสียอีก นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้การลงทุนแบบ Passive Investing หรือการลงทุนตามดัชนี ผ่านเครื่องมืออย่าง ETF (Exchange Traded Funds) ที่อ้างอิง S&P 500 ได้รับความนิยมมากๆ
สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเรา ถ้าอยากจะลงทุนตาม ดัชนี S&P 500 หรือ ดัชนีอื่นๆ ในอเมริกาบ้าง ทำได้ไหม? ทำได้ครับ มีหลายวิธีให้เลือกเลยครับ
วิธีที่นิยมและค่อนข้างตรงไปตรงมาคือ การลงทุนผ่าน “กองทุนดัชนี” (Index Funds) หรือ “ETF” (Exchange Traded Funds) ที่อ้างอิงกับดัชนี S&P 500 โดยตรง ซึ่งพวกนี้จะพยายามเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีให้ใกล้เคียงที่สุด ข้อดีคือ มันกระจายความเสี่ยงไปในหุ้น 500 ตัวให้เราแล้ว และมักจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำกว่ากองทุน Active Fund มากๆ ตัวอย่าง ETF ดังๆ ที่อ้างอิง S&P 500 ก็มี SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) หรือ Vanguard S&P 500 ETF (VOO US) ซึ่งบางกองทุนอย่าง VOO นี่ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อขายเป็นจำนวนหุ้นด้วย การซื้อขายพวกนี้ต้องแลกเงินบาทเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ก่อนนะครับ
อีกทางเลือกหนึ่งคือการเทรดผ่านเครื่องมืออย่าง “CFDs” (Contracts for Difference) ซึ่งอันนี้จะเป็นการเก็งกำไรตามการเคลื่อนไหวของราคาดัชนี ข้อดีคือใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อหุ้นหรือ ETF จริงๆ เพราะใช้ Leverage ได้ (เหมือนยืมเงินมาเทรด ทำให้โอกาสกำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้น) และเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ข้อควรระวังคือ ความเสี่ยงสูงมาก เพราะ Leverage นี่แหละครับ

นอกจากนี้ ยังมี “DW” (Derivative Warrants) บางตัวในตลาดหุ้นไทยที่อ้างอิงกับ Futures ของดัชนีสหรัฐฯ อย่าง DJI (ดาวโจนส์ Futures), NDX (Nasdaq 100 Futures), หรือ SPX (S&P 500 Futures) พวกนี้ซื้อขายเป็นเงินบาทในตลาดไทยได้ตามเวลาทำการไทย (สำหรับ DW ที่อ้างอิง Futures ที่ซื้อขายเกือบ 23 ชั่วโมง) แต่ก็มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเฉพาะตัวของ DW เอง ต้องศึกษาให้เข้าใจก่อน
สรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 เนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขนะครับ แต่เป็นเหมือนมาตรวัดสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกา และเป็นตัวแทนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจนี้เลย การทำความเข้าใจ ดัชนี s&p 500 คือ อะไร สำคัญแค่ไหน และมีวิธีเข้าถึงมันอย่างไรบ้าง จึงเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับนักลงทุนที่อยากจะกระจายพอร์ตไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามนะครับ ไม่ว่าจะเป็น ดัชนี S&P 500 ที่ดูแข็งแกร่งแค่ไหน การลงทุนในตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงเสมอครับ ราคาขึ้นได้ ก็ลงได้ ยิ่งถ้าเลือกเครื่องมือที่มี Leverage อย่าง CFD หรือ DW ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือไหน หรือใน ดัชนี S&P 500 ผ่านช่องทางใดก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองนะครับ การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ใช้สติและข้อมูลนำทางเสมอครับ