
เพื่อนผมชื่อน้องก้อยเพิ่งมาถามว่า “พี่ๆ หุ้นตัวใหญ่ๆ ที่เค้าพูดถึงกันบ่อยๆ น่ะ มันคืออะไร แล้วเราจะลงทุนกับมันได้ยังไงบ้าง?” คำถามนี้น่าสนใจมากครับ เพราะมันพาเราไปทำความรู้จักกับ ‘พี่ใหญ่’ คนสำคัญในตลาดหุ้นไทย ที่ชื่อว่า ดัชนีset50 นี่แหละ
ลองนึกภาพง่ายๆ ครับ ถ้าตลาดหุ้นไทยคือห้องเรียนใหญ่ๆ ดัชนีset50 ก็เหมือนกับกลุ่มนักเรียนหัวกะทิ 50 คนแรก ที่ตัวใหญ่ มีบทบาทเยอะ เวลาขยับตัวทีสะเทือนทั้งห้อง เค้าถูกคัดเลือกมาจากบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องในการซื้อขายดีสุด 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) โดยจะมีการทบทวนรายชื่อกันทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่ารายชื่อที่อยู่ใน ดัชนีset50 เป็นตัวแทนของหุ้นใหญ่จริงๆ การคำนวณดัชนีตัวนี้ก็ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดครับ เริ่มต้นที่ 1,000 จุด ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2538 เป็นดัชนีที่ถูกออกแบบมาให้ใช้เป็นตัวอ้างอิงสำหรับสินค้าการเงินต่างๆ ได้ด้วย นอกจาก SET50 แล้วก็ยังมี SET50FF ที่ปรับน้ำหนักตามสัดส่วน Free Float (สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย) อีกด้วยครับ
แล้วตลาดตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะครับ? ลองมาดูข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 03 เม.ย. 2568 เวลา 23:08:32 กันหน่อยนะครับ (ใช่ครับ ข้อมูลนี้อาจจะไม่ได้อัปเดตแบบ Real-time เรียลไทม์ เป๊ะๆ นะครับ ใช้เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่เหมาะกับการตัดสินใจซื้อขายแบบทันทีทันใด): วันนั้นตลาดหุ้นไทยปิดทำการไปแล้วครับ ราคาเปิดอยู่ที่ 741.54 จุด ระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่ 744.70 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 737.49 จุด ซึ่งเป็นราคาปิดของวันนั่นเองครับ วันนั้นมีปริมาณการซื้อขายรวม 1,723,808 พันหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวม 27,297.72 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้บอกเราถึงบรรยากาศการซื้อขายในวันล่าสุดครับ
ทีนี้ ถ้าเราเข้าใจแล้วว่า ดัชนีset50 คืออะไร เราจะ ‘เล่น’ กับมันได้ยังไงบ้างล่ะครับ นอกจากการซื้อหุ้นทั้ง 50 ตัวตรงๆ? เครื่องมือที่น่าสนใจตัวแรกคือ SET50 Index Futures (SET50 อินเด็กซ์ ฟิวเจอร์ส) ครับ ชื่อเต็มๆ คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงดัชนี SET50 นี่แหละ มันคือการที่เราตกลงจะซื้อหรือขายค่าดัชนีนี้กันในอนาคต ที่ราคาและวันเวลาที่กำหนด สิ่งที่น่าสนใจคือ สัญญาตัวนี้ให้เราทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและตลาดลง! มูลค่าต่อจุดของ SET50 Index Futures คือ 200 บาทครับ การชำระราคาเป็นแบบเงินสด (Cash Settlement) สมมติว่าคุณคิดว่า ดัชนีset50 จะขึ้น คุณก็ “เปิดสถานะซื้อ” (Long Futures) ที่ 740 จุด แล้วพอ ดัชนีset50 ขึ้นไปที่ 750 จุด คุณก็ “ขายปิดสถานะ” กำไรของคุณก็คือ (750 – 740) x 200 = 2,000 บาท แต่ถ้าคุณคิดว่าดัชนีจะลง คุณก็ “เปิดสถานะขาย” (Short Futures) ที่ 740 จุด พอ ดัชนีset50 ลงไปที่ 730 จุด คุณก็ “ซื้อปิดสถานะ” กำไรของคุณก็คือ (740 – 730) x 200 = 2,000 บาท เหมือนกันครับ

อีกเครื่องมือที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยแต่ให้กลยุทธ์ได้หลากหลายกว่าคือ SET50 Index Options (SET50 อินเด็กซ์ ออปชัน) ครับ นี่คือสัญญาซื้อขายสิทธิที่ผู้ซื้อได้รับสิทธิในการซื้อหรือขายดัชนี SET50 ในอนาคต ณ ราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) โดยจ่ายค่าธรรมเนียมก้อนหนึ่งที่เราเรียกว่า Premium (ค่า Premium) ให้กับผู้ขายสิทธิ มี 2 แบบหลักๆ คือ Call Options (คอล ออปชัน) คือสิทธิในการซื้อ และ Put Options (พุต ออปชัน) คือสิทธิในการขาย มูลค่าต่อจุดก็ 200 บาท และชำระด้วยเงินสดเช่นกัน
ลองนึกภาพเหมือนคุณซื้อตั๋วหนังครับ คุณจ่ายเงินค่าตั๋ว (Premium) เพื่อได้สิทธิเข้าไปดูหนัง ถ้าหนังไม่สนุกหรือไม่ว่าง คุณก็แค่ฉีกตั๋วทิ้ง เสียแค่ค่าตั๋ว (Premium) ขาดทุนจำกัดแค่ตรงนี้ แต่ถ้าหนังดีมากๆ คุณก็สนุกเต็มที่ ได้รับประสบการณ์ดีๆ กลับไป ซึ่งก็เหมือนกับการที่ผู้ซื้อ Options ถ้าตลาดเป็นไปตามที่คาด กำไรก็ไม่จำกัด! ในทางกลับกัน ผู้ขาย Options ก็เหมือนคนขายตั๋วหนัง เค้าได้เงินค่าตั๋ว (Premium) ตั้งแต่แรก แต่ถ้าหนังเกิดฮิตมากๆ คนแห่มาดูเยอะๆ ผู้ขายก็อาจจะต้องรับผิดชอบในส่วนที่เกินจากที่เค้าได้รับ Premium ไปแล้ว ทำให้ผู้ขายมีความเสี่ยงในการขาดทุนไม่จำกัดได้ครับ การซื้อขาย Options ช่วยให้เราสร้างกลยุทธ์ได้หลากหลายมาก ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ Sideways (ไซด์เวย์) ครับ
ฟังดู Futures กับ Options อาจจะแอบซับซ้อนไปหน่อยสำหรับมือใหม่ใช่ไหมครับ? ไม่ต้องกังวลครับ ยังมีอีกทางเลือกที่ง่ายกว่าเยอะ นั่นก็คือ กองทุนรวม ที่อ้างอิง ดัชนีset50 ครับ กองทุนประเภทนี้เค้ามีนโยบายการลงทุนแบบ Passive Fund (กองทุนเชิงรับ) คือไม่ได้มีผู้จัดการกองทุนมานั่งเลือกหุ้นเองว่าจะซื้อตัวไหนขายตัวไหน แต่เค้าจะลงทุนในหุ้นทั้งหมดที่อยู่ใน ดัชนีset50 ด้วยสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับน้ำหนักของหุ้นในดัชนีให้มากที่สุด เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุน “ล้อไปตาม” ผลตอบแทนของ ดัชนีset50 เป้าหมายคือทำผลงานให้ใกล้เคียงดัชนี benchmark (เบนช์มาร์ก) ที่สุดครับ ข้อดีของกองทุนแบบนี้คือ กลยุทธ์เรียบง่าย เข้าใจง่าย ค่าธรรมเนียม (Fee) มักจะต่ำกว่ากองทุนที่มีผู้จัดการมาเลือกหุ้นเอง เหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตครับ กองทุนรวม ดัชนีset50 ก็มีหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการของเราเลยครับ ทั้งแบบที่ไม่จ่ายเงินปันผล (สะสมมูลค่าหน่วยลงทุนไปเรื่อยๆ) แบบที่จ่ายเงินปันผลให้เราสม่ำเสมอ รวมถึงแบบพิเศษที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น SSF (เอสเอสเอฟ) และ RMF (อาร์เอ็มเอฟ) ครับ มีให้เลือกหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเลยครับ เช่น KT-SET50-A, T-SET50ACC, K-SET50, SCBSET50, PRINCIPAL SET50-A, TMB50 เป็นต้น (ชื่อเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างนะครับ ยังมีอีกหลายกองทุนเลย ควรศึกษาข้อมูลกองทุนที่สนใจจากหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจ)

อยากรู้ไหมครับว่า ‘นักเรียนหัวกะทิ’ ทั้ง 50 คนใน ดัชนีset50 น่ะ มีใครเป็นตัวท็อปบ้าง? ลองมาดู 10 อันดับแรก (อิงตามมูลค่าหลักทรัพย์สูงสุดตามข้อมูลล่าสุด) กันครับ กลุ่มนี้เป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยมากๆ ครับ เช่น DELTA (เดลต้า) ผู้นำด้านอิเล็กทรอนิกส์, AOT (เอโอที) เจ้าของธุรกิจท่าอากาศยานหลักๆ ของประเทศ, PTT (ปตท.) และ PTTEP (ปตท.สผ.) ยักษ์ใหญ่พลังงานของชาติ, ADVANC (แอดวานซ์) เจ้าตลาดโทรคมนาคม, GULF (กัลฟ์) ผู้นำธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค, CPALL (ซีพีออลล์) เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่เราคุ้นเคย และ BDMS (บีดีเอ็มเอส) เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ จะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มาจากหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยเลยครับ
สรุปง่ายๆ ก็คือ ดัชนีset50 เป็นเหมือนตัวแทนของบริษัทใหญ่ๆ ในไทย และมีเครื่องมือหลากหลายให้เราเลือกลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสัญญาที่ซับซ้อนอย่าง Futures (ฟิวเจอร์ส) หรือ Options (ออปชัน) ที่เหมาะกับคนที่เข้าใจตลาดเป็นอย่างดี หรือการลงทุนง่ายๆ ผ่านกองทุนรวม ดัชนีset50 ที่เหมาะกับมือใหม่หรือคนที่เน้นลงทุนระยะยาว
⚠️ **แต่ จำไว้เสมอครับว่าการลงทุนในตราสารการเงินมีความเสี่ยงสูง!** ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า สัญญาซื้อขายสิทธิ หรือกองทุนรวม ราคาผันผวนได้ตลอดเวลาตามปัจจัยต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การลงทุนทุกรูปแบบอาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าคุณเลือกใช้ Margin (มาร์จิน) ในการซื้อขาย ซึ่งเป็นการกู้เงินมาลงทุน เพิ่มโอกาสในการทำกำไรก็จริง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมหาศาลได้เช่นกันครับ
ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ประเมินวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตัวเอง ประสบการณ์ และระดับการยอมรับความเสี่ยงให้ดีเสียก่อน หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินครับ และย้ำอีกครั้งว่า ข้อมูลที่คุณเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ หรือแม้แต่ในบทความนี้ อาจไม่ใช่ Real-time (เรียลไทม์) หรือไม่แม่นยำ 100% เสมอไป ใช้เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการตัดสินใจเท่านั้นนะครับ การนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตก็อาจถือเป็นการละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาได้เช่นกันครับ ลงทุนอย่างมีสติและเข้าใจความเสี่ยงนะครับ!