
เพื่อนซี้ของผมคนหนึ่ง เพิ่งจะเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ไม่นาน เดินมาถามผมด้วยความสงสัยว่า “นี่ๆ ทำไมเวลาข่าวพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา จีน หรือยุโรป มันถึงมีผลกับหุ้นไทยด้วยล่ะ? ฉันลงทุนแค่หุ้นไทยนะ!” คำถามนี้สะท้อนความจริงที่นักลงทุนหลายคนอาจยังไม่แน่ใจ ว่าจริงๆ แล้ว โลกการเงินยุคนี้มันเชื่อมถึงกันหมด และการจะเข้าใจตลาดหุ้นไทยอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องชำเลืองมองไปที่ “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” ด้วย
ลองนึกภาพตามนะครับว่า “ดัชนีหุ้น” ก็เหมือนเครื่องวัดไข้หรือเครื่องวัดสภาพอากาศประจำประเทศนั้นๆ ถ้าดัชนีรวมๆ ของประเทศไหนปรับตัวขึ้น ก็พอจะบอกได้ว่าสภาพเศรษฐกิจหรือความเชื่อมั่นในการลงทุนของที่นั่นกำลังไปได้ดี แต่ถ้าปรับตัวลงแรงๆ ก็อาจมีสัญญาณเตือนบางอย่างกำลังเกิดขึ้น และไอ้ “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” เนี่ย มันไม่ได้มีแค่ตัวสองตัวนะครับ แต่มีเยอะแยะเต็มไปหมด ครอบคลุมตั้งแต่ตลาดใหญ่เบอร์ต้นของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา (เช่น ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones), S&P 500, NASDAQ) ไปจนถึงยุโรป (อย่าง STOXX 600, FTSE Europe) และเอเชียบ้านเรา (เช่น Hang Seng ของฮ่องกง, Nikkei 225 ของญี่ปุ่น, CSI 300 ของจีน) รวมถึงดัชนีของประเทศอื่นๆ อีกมากมายที่เราอาจไม่ได้ตามติดทุกวัน แต่พวกเขาก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่
ทีนี้ ทำไมถึงต้องรู้จักดัชนีพวกนี้ ทั้งๆ ที่เราลงทุนใน SET Index ของไทย? เหตุผลสำคัญเลยก็คือ โลกของเรามันไร้พรมแดนมากขึ้นทุกทีครับ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศมหาอำนาจ อย่างการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด – Fed) หรือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล้วนส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย Fund Flow หรือการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง การวิเคราะห์แค่ปัจจัยในประเทศ เช่น ตัวเลข GDP ไทย หรือการประชุม กนง. อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เหมือนเรากำลังดูแค่หน้าบ้านเรา แต่ไม่มองดูว่าลมฟ้าอากาศรอบๆ เป็นยังไงนั่นแหละครับ ดัชนีหุ้นทั่วโลกเลยเป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจโลกและจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย และบางทีก็ส่งผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุนไทยเองด้วยครับ

ช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมของ “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” ค่อนข้างหลากหลายปนเปกันไปครับ บางดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลายตลาดก็ค่อนข้างทรงตัว หรือปรับตัวลงเล็กน้อยถึงปานกลาง ถ้าดูจากข้อมูลล่าสุดที่เราเห็น อย่างช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสำคัญๆ ในเอเชียตอนเปิดตลาดเช้าวันที่ 30 เม.ย. ก็ยังมีการเคลื่อนไหวผสมผสานกันไป ทั้งเปิดลบเล็กน้อย เปิดบวก หรือทรงตัว แล้วแต่ตลาดตามข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น Fusion Media
แต่ถ้ามองย้อนไปเมื่อวันที่ 29 เม.ย. เราก็เห็นภาพตลาดใหญ่ๆ บางแห่งที่น่าสนใจนะครับ อย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเลยทีเดียว ส่วน ตลาดหุ้นยุโรป ทั้งที่ลอนดอนและโดยภาพรวม ก็ปิดบวกต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งปัจจัยที่หนุนให้ตลาดใหญ่ๆ เหล่านี้ปรับตัวขึ้น ก็มาจากหลายอย่าง ทั้งความหวังเรื่องการเจรจาการค้าที่ดูมีทิศทางที่ดีขึ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารในยุโรป สอดคล้องกับข้อมูลที่รวบรวมโดยแหล่งข่าวอย่าง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) และข้อมูลดัชนีจาก Fusion Media ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจาก ICE Data Services และ FactSet ครับ
สำหรับตลาดหุ้นไทย SET Index เองก็มีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับตลาดภูมิภาคและตลาดโลกอยู่บ้างครับ วันที่ 29 เม.ย. SET ก็ปิดบวกขึ้นมาได้ตามตลาดเพื่อนบ้านและแรงเก็งกำไรในหุ้นใหญ่บางตัว เช่น DELTA, GULF, BH แม้ว่าในช่วงเช้าอาจจะยังแกว่งแคบๆ และวอลุ่มค่อนข้างบางก็ตาม ส่วนภาพรวมล่าสุดของจำนวนหุ้นที่ขึ้นลงใน SET และ mai ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือมีทั้งหุ้นที่ปรับขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลง และปรับลง อยู่ในจำนวนที่ไม่ห่างกันมากนัก สะท้อนภาวะตลาดที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็ดูได้จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยตรง หรือผ่านแพลตฟอร์มอย่าง TradingView ที่นักลงทุนนิยมใช้กัน

นอกจากการเคลื่อนไหวของ “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” แล้ว ปัจจัยทางเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดครับ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ จากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือจีน มีผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อขายระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลมาถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรากำลังรอดูดัชนีภาคการผลิตและบริการ (PMI) ของจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจเบอร์สองของโลก รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ และผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ที่จะสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของภาคธุรกิจ
ในบ้านเราเอง การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ตลาดจับตา และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของไทยที่กำลังจะประกาศ ก็จะเป็นภาพสะท้อนกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชัดเจนขึ้นด้วย เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล การปฏิวัติ หรือแม้แต่ปัญหาที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินในบางประเทศ ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนในตลาดได้ทั้งสิ้น และแน่นอนว่า สงครามการค้า หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับทิศทางของ Fund Flow ที่มีความรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก
เมื่อเข้าใจแล้วว่า “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” และปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยขนาดไหน นักลงทุนไทยที่อยากจะกระจายความเสี่ยง หรือมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในต่างประเทศ ก็มีช่องทางให้เลือกมากขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ ไม่จำเป็นต้องบินไปเปิดบัญชีที่ต่างประเทศด้วยตัวเองอีกต่อไป สำหรับนักลงทุนไทย ดัชนีหุ้นต่างประเทศหลักๆ ที่ควรทำความรู้จักและติดตามการเคลื่อนไหวไว้ ก็หนีไม่พ้นดัชนีใหญ่ๆ ของ สหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และ NASDAQ ที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นอเมริกาและกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงดัชนีสำคัญในเอเชียอย่าง Hang Seng ของฮ่องกง และ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น เพราะความเคลื่อนไหวของตลาดเหล่านี้มักส่งอิทธิพลต่อตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกค่อนข้างสูงครับ
ส่วนช่องทางการลงทุนในหุ้นต่างประเทศจากไทยปัจจุบัน ก็มีหลายแบบครับ เช่น การลงทุนโดยตรงผ่านแอปพลิเคชันของบริษัทหลักทรัพย์ในไทยที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมักจะรองรับการซื้อขายหุ้นและ ETF (กองทุนอีทีเอฟ) ในตลาดหลักทรัพย์สำคัญๆ เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง หรือเวียดนาม อีกวิธีที่ง่ายขึ้นคือ การลงทุนทางอ้อมผ่าน DR01 ซึ่งเป็นตราสารที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ไทยและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยให้ผลตอบแทนเสมือนกับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง แต่ซื้อขายด้วยเงินบาทได้เลย เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่อยากสัมผัสตลาดนอกบ้านครับ
สรุปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยุคนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องมองภาพใหญ่ขึ้น ต้องทำความรู้จักกับ “ดัชนีหุ้นทั่วโลก” และติดตามปัจจัยภายนอกต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยภายในประเทศ การทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปลงทุนในต่างประเทศเสมอไปนะครับ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงขึ้นหรือลงในบางจังหวะ และช่วยในการวางแผนการลงทุนของเราให้รอบคอบยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความเสี่ยง” ครับ การซื้อขายตราสารทางการเงิน โดยเฉพาะหุ้น และรวมถึงสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างเงินดิจิทัล มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ราคาสามารถแปรปรวนอย่างรวดเร็วและได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งปัจจัยทางการเงิน กฎหมาย การเมือง และปัจจัยอื่นๆ การใช้มาร์จิน (Margin Trading) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเป็นทวีคูณ หากทิศทางราคาไม่เป็นไปตามที่คาด
⚠️ ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ขอให้ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์ ประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และควรลงทุนเฉพาะเงินเย็นที่ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนะครับ ข้อมูลที่เรานำเสนอเป็นเพียงภาพรวมและบทวิเคราะห์เบื้องต้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายโดยตรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ เพื่อให้การเดินทางในโลกการลงทุนของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.