เจาะลึก! **กองทุน Nasdaq คือ** อะไร? โอกาสทองของนักลงทุนสายเทคฯ

เคยสงสัยไหมว่า เวลาเพื่อนๆ หรือข่าวพูดถึงตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะของพี่ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาเนี่ย มันมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ แล้วถ้าเราอยากจะตามกระแสหุ้นเทคฯ ปังๆ ที่หลายคนบอกว่าเติบโตดี๊ดี ต้องทำยังไงกันนะ? วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้ฟังง่ายๆ จะพาไปเจาะลึกเรื่องนี้กันแบบเป็นกันเองสุดๆ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย ต้องบอกว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนะ มีมูลค่ารวมกันมหาศาลมากๆ เกิน 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยนี่เยอะจนขี้เกียจนับศูนย์เลยทีเดียว ความสำคัญของมันไม่ได้มีแค่ขนาดนะ แต่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางการลงทุนของเราด้วย ตลาดหลักๆ ของเขาจะมีอยู่สองแห่งที่ดังๆ คือ NYSE หรือตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) อันนี้จะออกแนวคลาสสิก เก่าแก่ บริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่มานานจะเยอะหน่อย เหมือนเป็นพี่ใหญ่สุดในวงการ มูลค่าตลาดรวมๆ เกือบ 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยนะ ส่วนอีกแห่งที่วัยรุ่นไฮเทคหน่อยก็คือ Nasdaq (แนสแด็ก) ตลาดนี้เขาเป็นเจ้าแรกๆ ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการซื้อขาย ก่อตั้งมาตอนแรกเพื่อช่วยให้บริษัทเล็กๆ เข้ามาหาเงินทุนง่ายขึ้น แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นแหล่งรวมพลของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไปซะแล้ว มูลค่าตลาดก็ไม่น้อยหน้า อยู่ที่ราวๆ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทีนี้ พอตลาดมันใหญ่ มีหุ้นเป็นพันๆ ตัว การจะมานั่งดูหุ้นทีละตัวก็คงไม่ไหว เขาเลยมีสิ่งที่เรียกว่า “ดัชนีอ้างอิง” ขึ้นมา เหมือนเป็นตัวแทนที่สะท้อนภาพรวมของหุ้นแต่ละกลุ่ม ดัชนีดังๆ ในสหรัฐฯ ก็มีหลายตัว เช่น Dow Jones (ดาวโจนส์), S&P 500 (เอสแอนด์พี 500), Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100) หรือ Russell 2000 (รัสเซลล์ 2000) ซึ่งสองตัวกลางอย่าง S&P 500 กับ Nasdaq 100 เนี่ย เป็นที่นิยมมากๆ โดยเฉพาะกับนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงคนไทยอย่างเราๆ ด้วย

มาทำความรู้จักดัชนีแรกกันก่อน S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นดัชนีที่ทำโดย Standard & Poor (สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์) เจ้านี้เขาเลือกหุ้น 500 ตัวที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยคัดมาจากทั้งตลาด NYSE และ Nasdaq เลยนะ การคัดเลือกเขาก็มีเกณฑ์เยอะแยะ ไม่ใช่แค่มูลค่าบริษัท (Market Cap) แต่ยังดูเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขาย หรือสัดส่วนหุ้นที่คนทั่วไปซื้อขายได้จริงๆ (Free Float) ด้วย ที่สำคัญคือ S&P 500 เนี่ย คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดกว่า 80% แถมยังกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ ตั้งแต่เทคโนโลยี สุขภาพ การเงิน พลังงาน ค้าปลีก เรียกว่าเห็นดัชนีนี้ ก็เหมือนเห็นภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ค่อนข้างชัดเจนเลยล่ะ วิธีคำนวณก็ใช้แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด คือบริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าเยอะ ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากหน่อย

แล้วถ้าพูดถึง กองทุน nasdaq คือ อะไรกันแน่? มันพิเศษยังไง? ก็ต้องบอกว่า กองทุน nasdaq คือ กองทุนรวมที่เขาเอาเงินเราไปลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100) นั่นเอง ดัชนี Nasdaq 100 เนี่ย จัดทำโดยตลาด Nasdaq เองเลยนะ เขาจะรวมเอา 100 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด Nasdaq แต่ๆๆ มีข้อแม้นิดนึงคือ จะไม่รวมบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินนะ จุดเด่นของ Nasdaq 100 คือมันเป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่เน้นการเติบโตสูง (Growth Stocks) แบบว่าหลายๆ บริษัทในนี้เมื่อก่อนก็ตัวเล็กๆ นี่แหละ แต่เติบโตจนกลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกไปแล้ว ลองนึกถึงชื่อที่คุ้นๆ หูอย่าง Apple (แอปเปิล), Microsoft (ไมโครซอฟท์), Amazon (อเมซอน), Alphabet (อัลฟาเบท) หรือ Nvidia (เอ็นวิเดีย) บริษัทพวกนี้แหละที่มักจะอยู่ใน Nasdaq 100 การคำนวณดัชนีนี้ก็เหมือน S&P 500 คือถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกันนะ แต่เขาก็มีการกำหนดเพดานน้ำหนักสูงสุดต่อหุ้นไว้ด้วย เพื่อไม่ให้หุ้นบางตัวมีอิทธิพลมากเกินไป ส่วนประกอบหลักๆ ในดัชนีนี้ก็เลยจะไปกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลักเลย รองลงมาก็อาจจะเป็นบริการ ค้าปลีก หรือสุขภาพนิดหน่อย

ทีนี้หลายคนอาจจะเริ่มงงว่า อ้าว แล้ว S&P 500 กับ Nasdaq 100 มันต่างกันยังไงล่ะ ในเมื่อก็มีหุ้นตัวท็อปๆ อย่าง Apple หรือ Microsoft อยู่เหมือนกัน? ความเหมือนคือหุ้นตัวท็อป 5-10 อันดับแรกเนี่ยมันจะซ้ำๆ กันอยู่บ้างในทั้งสองดัชนี แต่ความต่างมันอยู่ตรงโครงสร้างไง S&P 500 เหมือนจานอาหารบุฟเฟต์ที่มีครบทุกอย่าง หลายหลากอุตสาหกรรม หุ้นตัวท็อป 5 ตัวแรกมีน้ำหนักรวมกันแค่ประมาณ 23% เอง ทำให้ดัชนีมีความกระจายตัวสูงมาก ถ้าอุตสาหกรรมไหนไม่ดี แต่อุตสาหกรรมอื่นยังดีอยู่ ดัชนีโดยรวมก็อาจจะไม่กระทบมากนัก ในขณะที่ Nasdaq 100 เหมือนร้านอาหารที่เน้นเมนูเฉพาะทางมากๆ โดยเฉพาะเมนูเทคโนโลยี หุ้นตัวท็อป 5 ตัวแรก มีน้ำหนักรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของดัชนีทั้งหมดเลยนะ คือประมาณ 46% แล้วหุ้นที่เหลือส่วนใหญ่ก็ยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีลักษณะเติบโตสูงอยู่ดี การกระจุกตัวสูงแบบนี้เนี่ย ทำให้เวลาที่หุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโตดี๊ดี ดัชนี Nasdaq 100 ก็จะพุ่งแรงแซงโค้งกว่า S&P 500 แต่ในทางกลับกัน ถ้าเมื่อไหร่ที่หุ้นกลุ่มนี้โดนเทขาย หรือมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ Nasdaq 100 ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงแรงและเร็วกว่า S&P 500 ด้วย สรุปง่ายๆ คือ Nasdaq 100 ผันผวนกว่า S&P 500 นั่นแหละ

อะไรกันนะ ที่ทำให้ดัชนีเหล่านี้มันขึ้นๆ ลงๆ ได้ โดยเฉพาะเจ้า Nasdaq 100 ที่ดูจะหวือหวาเป็นพิเศษ? ปัจจัยหลักๆ ที่เห็นชัดเลยคือเรื่อง “อัตราเงินเฟ้อ” กับ “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เฟด” (Fed) เหมือนเงินเฟ้อเป็นไข้ที่ทำให้ของแพงขึ้น เฟดก็ต้องใช้ยาแรงคือ “ขึ้นอัตราดอกเบี้ย” เพื่อสกัดเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยเนี่ยมันไม่ค่อยเป็นผลดีกับหุ้นกลุ่มเติบโตหรือหุ้นเทคโนโลยีเท่าไหร่ เพราะบริษัทพวกนี้มักจะใช้เงินทุนเยอะในการขยายธุรกิจ พอต้นทุนเงินกู้แพงขึ้น กำไรในอนาคตที่คาดหวังก็จะดูไม่น่าสนใจเท่าเดิม แต่ในทางกลับกัน ถ้าเฟดมีแนวโน้มจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในอนาคต อันนี้ก็จะส่งผลดีมากๆ ต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะ Nasdaq 100 เหมือนได้ถอนยาแรงออกไป ตลาดก็มีแรงวิ่งต่อ นอกจากนี้ “ผลประกอบการบริษัท” ก็สำคัญนะ ถ้าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ๆ ในดัชนีมีผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้ หุ้นก็จะคึกคัก ตลาดก็มี Sentiment (บรรยากาศการลงทุน) ที่ดีขึ้น อย่างข้อมูลจาก Bloomberg หรือ Goldman Sachs ก็มักจะชี้ให้เห็นว่าผลประกอบการของบริษัทเทคฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในช่วงที่ผ่านมา และที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “เทคโนโลยีแห่งอนาคต” การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ทั้งพวก Chatbot หรือชิปประมวลผลสำหรับ AI, เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (AR/VR) อย่างที่ Meta (เมตา) พยายามทำ หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ พวกนี้คือเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทใน Nasdaq 100 ในระยะยาวเลย

ฟังมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะตาลุกวาว อยากลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 หรือ S&P 500 บ้างแล้ว แต่จะให้ไปเปิดพอร์ตซื้อหุ้นรายตัวในตลาดสหรัฐฯ บางทีก็ยุ่งยากใช่ไหมล่ะ? ข่าวดีคือ นักลงทุนไทยอย่างเราๆ สามารถลงทุนในดัชนีเหล่านี้ได้ง่ายๆ ผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีให้เลือกซื้อในประเทศไทยนี่แหละ หลายๆ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในบ้านเราเขาก็มีกองทุนที่ไปลงทุนอิงตามดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq 100 โดยตรงเลยนะ โดยส่วนใหญ่แล้ว กองทุน nasdaq คือ กองทุนที่เขาจะไปลงทุนต่อในกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ขนาดใหญ่ในต่างประเทศ อย่างกองทุนที่อ้างอิง Nasdaq 100 ยอดฮิตในบ้านเราหลายกอง ก็มักจะไปลงทุนใน Invesco NASDAQ 100 ETF (อินเวสโก แนสแด็ก 100 อีทีเอฟ) อีกทีนึง ซึ่งกองทุน ETF ตัวนี้แหละที่ไปลงทุนในหุ้น 100 ตัวตามดัชนี Nasdaq 100 จริงๆ

เวลาจะเลือก กองทุน nasdaq คือ หรือกองทุน S&P 500 สักกองเนี่ย ก็ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกันนะ ไม่ใช่แค่ดูว่ากองไหนเคยขึ้นแรงๆ มาก่อน แต่ต้องพิจารณาถึง “ผลตอบแทนย้อนหลัง” ในช่วงเวลาต่างๆ กัน “ระดับความเสี่ยง” ของกองทุน ดูได้จากค่า SD (Standard Deviation) หรือค่า Sharpe Ratio (ชาร์ป เรชิโอ) ที่บอกว่าผลตอบแทนที่ได้คุ้มกับความเสี่ยงที่รับไหม และที่สำคัญคือ “ค่าธรรมเนียม” ต่างๆ ทั้งค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมซื้อขาย (ถ้ามี) พวกนี้เป็นต้นทุนที่กัดกินผลตอบแทนของเราได้ในระยะยาว ต้องลองเอาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งมาเปรียบเทียบดู อย่างเว็บไซต์ WealthMagik (เวลธ์เมจิก) หรือข้อมูลจากบลจ. โดยตรง ก็มีข้อมูลให้ศึกษาเยอะเลย

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 เป็นโอกาสการลงทุนที่น่าจับตามองมากๆ S&P 500 เป็นเหมือนตัวแทนตลาดรวมที่มั่นคงกว่า กระจายความเสี่ยงได้ดี ส่วน Nasdaq 100 ที่มักจะมาในรูปแบบของ กองทุน nasdaq คือ กองทุนที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง แต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า ถ้าใครรับความเสี่ยงได้สูงหน่อย และเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก การลงทุนใน กองทุน nasdaq คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงนะจ๊ะ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน กองทุน nasdaq คือ หรือกองทุนอื่นๆ ที่อ้างอิงดัชนีสหรัฐฯ อย่าลืมศึกษาข้อมูลของกองทุนนั้นๆ ให้ละเอียด ทำความเข้าใจว่ากองทุนไปลงทุนในอะไร มีนโยบายอย่างไร ผลตอบแทนเป็นแบบไหน ความเสี่ยงแค่ไหน และเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของตัวเองหรือเปล่า ที่สำคัญคือ อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงที่เดียว และควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนด้วยนะ การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะ แม้บางกองทุนจะมีป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ให้ แต่ก็อาจจะไม่ 100% เสมอไป ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจนะทุกคน! หากเงินทุนของคุณไม่ได้เหลือใช้ หรือสภาพคล่องไม่สูงมาก แนะนำให้ประเมินความพร้อมทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่รับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนที่มีความผันผวนสูงแบบนี้

Leave a Reply