เพื่อนๆ ครับ เคยสงสัยไหมว่าเวลาเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนีเนี่ย เขาดูอะไรกันเป็นหลัก? ตัวชี้วัดสำคัญที่เปรียบเสมือน “หัวใจ” ของตลาดหุ้นเยอรมัน ก็คือ ดัชนี DAX หรือชื่อเต็มๆ ว่า Deutscher Aktienindex ครับ นี่แหละคือ หุ้นdax ที่เราจะได้ทำความรู้จักกันวันนี้แบบเจาะลึก แต่รับรองว่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายเหมือนคุยกันเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องเป็นเซียนหุ้นก็เก็ทได้!

ทำไม หุ้นdax ถึงสำคัญ? ลองคิดภาพว่าเยอรมนีเป็นเหมือนโรงงานใหญ่ของยุโรป บริษัทชั้นนำระดับโลกหลายแห่งก็อยู่ที่นั่น การที่ หุ้นdax ขึ้นหรือลง มันสะท้อนถึงสุขภาพของบริษัทเหล่านี้ ซึ่งก็หมายถึงภาพรวมของเศรษฐกิจเยอรมนีและมีผลต่อเศรษฐกิจยุโรปทั้งหมดเลยครับ
หุ้นdax เนี่ยมีประวัติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๘๘ (พ.ศ. ๒๕๓๑) เริ่มแรกมีบริษัทใหญ่ๆ ๓๐ แห่งเป็นส่วนประกอบ แต่เมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔ เขาก็มีการปรับใหญ่ เพิ่มจำนวนบริษัทเป็น ๔๐ แห่ง ทำให้ตอนนี้ หุ้นdax เป็นตัวแทนของ ๔๐ บริษัทเยอรมันที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงมากๆ ในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt Stock Exchange) คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมเกือบ ๘๐% ของหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขายกันบนตลาดนี้เลยทีเดียวครับ

วิธีการเลือกบริษัทเข้ามาอยู่ใน หุ้นdax ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าได้ง่ายๆ นะครับ เขาจะดูจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) และสภาพคล่องในการซื้อขาย ซึ่งจะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนสมาชิกเป็นระยะๆ บริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีหลายแห่งก็เป็นสมาชิกของ หุ้นdax ครับ อย่างเช่น SAP, Siemens, Allianz, BASF, Bayer, Mercedes-Benz Group, Deutsche Telekom, Linde, Munich Re, Adidas เป็นต้น (ชื่อบริษัทเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับน้ำหนักไปตามเวลาด้วยนะครับ)
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ หุ้นdax เป็นดัชนีประเภท “Performance Index” (ดัชนีประสิทธิภาพ) ครับ ซึ่งหมายความว่า เวลาบริษัทสมาชิกจ่ายเงินปันผล (dividend) ออกมา มูลค่าเงินปันผลนั้นจะถูกนำกลับมาคำนวณรวมเข้าไปในตัวดัชนีด้วย ไม่เหมือนดัชนีราคาอย่างเดียว ทำให้ หุ้นdax สะท้อนผลตอบแทนรวมที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้ชัดเจนกว่า
แล้วตอนนี้ หุ้นdax เป็นยังไงบ้าง? อัปเดตล่าสุดจากข้อมูลที่ได้รับมานะครับ ดัชนี หุ้นdax ยืนอยู่ที่ประมาณ ๒๓,๓๔๔.๕๔ ยูโร (ณ วันที่ [ใส่ประมาณวันที่ปัจจุบัน หรืออิงจากข้อมูลดิบ]) เห็นตัวเลขนี้แล้วอาจจะตกใจว่าทำไมสูงจัง ถ้าเทียบกับข่าวที่เราอาจเคยได้ยิน อันนี้ต้องบอกว่าตัวเลขในข้อมูลอาจจะมีการปรับฐานหรือมาจากแหล่งที่แตกต่างกันไป ทำให้สเกลดูสูงกว่าค่าที่เราเห็นทั่วไปในข่าว แต่ก็เป็นตัวเลขที่เราอ้างอิงจากข้อมูลดิบครับ
ในช่วง ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา หุ้นdax มีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ ๐.๔๖% ถ้ามองภาพกว้างขึ้นในระยะสั้น สัปดาห์ที่ผ่านมาบวกไปถึง ๓.๘๒% และเดือนที่ผ่านมาก็พุ่งแรง ๗.๖๖% ส่วนประสิทธิภาพในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมา เรียกว่าน่าประทับใจมากๆ ครับ บวกไปถึง ๓๐.๔๒%! และถ้ามองย้อนไป ๕ ปี ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ ๔๔.๔๙% ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาก็บวกไปแล้วเกือบ ๑,๗๐๐% เลยทีเดียว!
แต่ใช่ว่า หุ้นdax จะพุ่งขึ้นอย่างเดียวตลอดนะครับ ตลาดหุ้นมันก็มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ช่วงที่ผ่านมาเราก็จะเห็นความผันผวนอยู่บ้าง บางช่วงที่ข้อมูลเงินเฟ้อในยูโรโซนออกมาสูง หรือมีสถานการณ์การเมืองที่สร้างความไม่แน่นอน เช่น เรื่องการเมืองในฝรั่งเศส ตลาดหุ้นยุโรปรวมถึง หุ้นdax ก็มีแรงกดดันให้ปรับลดลงได้เหมือนกันครับ ในทางกลับกัน ถ้ามีข่าวดีๆ อย่างเช่น ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด หรือข้อมูลการผลิตสหรัฐฯ ดีขึ้น ก็ส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยุโรป ทำให้ หุ้นdax ปรับตัวสูงขึ้นได้
ทีนี้ เรามาดูกันว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน หุ้นdax ให้ขึ้นๆ ลงๆ? มีอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องจับตาครับ
เรื่องแรก คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ECB (European Central Bank – ธนาคารกลางยุโรป) เนี่ย มีบทบาทสำคัญมากๆ ในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของยูโรโซน รวมถึงเยอรมนีด้วย เครื่องมือหลักของ ECB คือการปรับ อัตราดอกเบี้ย ครับ หลักการง่ายๆ คือ ถ้า ECB ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ก็จะสูงขึ้น คนก็อาจจะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง บรรยากาศเศรษฐกิจก็อาจจะชะลอตัว ซึ่งมักจะทำให้ หุ้นdax มีแนวโน้มร่วงลง ในทางตรงกันข้าม ถ้า ECB ลดอัตราดอกเบี้ย การกู้ยืมจะถูกลง บริษัทมีช่องทางขยายตัวมากขึ้น คนก็อาจจะใช้จ่ายมากขึ้น บรรยากาศเศรษฐกิจดีขึ้น อันนี้ก็จะช่วยหนุนให้ หุ้นdax มีแนวโน้มพุ่งขึ้นครับ

เรื่องที่สอง ที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของเยอรมนี เองครับ แม้ว่านโยบาย ECB จะเป็นภาพใหญ่ แต่สุขภาพภายในของเยอรมนีก็สำคัญไม่แพ้กัน ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลักๆ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่แสดงถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม, ยอดค้าปลีก (retail sales) ที่บอกกำลังซื้อของผู้บริโภค, ตัวชี้วัดตลาดแรงงาน (labor market data) เช่น อัตราการว่างงาน, และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI – Purchasing Managers’ Index) ที่สะท้อนกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรม ล้วนมีผลต่อ หุ้นdax ทั้งสิ้นครับ ถ้าตัวเลขเหล่านี้ออกมาดี ส่วนใหญ่มักจะส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเยอรมัน และดันให้ หุ้นdax ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่าข้อมูลเศรษฐกิจจากภูมิภาคอื่นๆ อย่างเช่น เงินเฟ้อในยูโรโซน หรือแม้กระทั่งตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ จากสหรัฐอเมริกา ก็สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของนักลงทุนในยุโรปและส่งอิทธิพลถึง หุ้นdax ได้เหมือนกัน การติดตามปฏิทินเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ครับ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มสนใจและอยากรู้แล้วว่า “แล้วเราในฐานะนักลงทุนรายย่อย จะเข้าไปลงทุนหรือซื้อขาย หุ้นdax ได้ยังไงบ้างล่ะ?”
ข้อแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ เราไม่สามารถ “ซื้อ” ตัวดัชนี หุ้นdax ได้โดยตรงนะครับ เพราะมันเป็นแค่ตัวเลขชี้วัดประสิทธิภาพของกลุ่มหุ้น ๔๐ ตัวนั้น แต่เราสามารถลงทุนทางอ้อมที่อ้างอิงกับ หุ้นdax ได้หลายวิธีครับ
วิธีที่นิยมและเข้าถึงง่ายคือ การลงทุนผ่านกองทุน ครับ อาจจะเป็นกองทุนรวม หรือที่นิยมมากในปัจจุบันคือ กองทุน ETF (Exchange Traded Fund – กองทุนอีทีเอฟ) ที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ หุ้นdax หรือลงทุนตามการเคลื่อนไหวของดัชนีนี้โดยตรง ข้อดีคือนักลงทุนจะได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัวของเยอรมนีในคราวเดียวครับ
อีกวิธีหนึ่ง คือ การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ที่อ้างอิงกับ หุ้นdax เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือ CFDs (Contracts for Difference) การซื้อขายประเภทนี้มักจะใช้สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น และมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในกองทุน เพราะมีการใช้มาร์จิ้น (margin) ซึ่งหมายความว่ากำไรหรือขาดทุนจะถูกขยายใหญ่ขึ้นได้ครับ สำหรับนักเทรดบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น MetaTrader 5 (แพลตฟอร์ม MetaTrader 5) มักจะเห็นสัญลักษณ์ DE30 ซึ่งก็คือตัวแทนของ หุ้นdax ที่ใช้ในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์นั่นเอง
สุดท้าย คือ การลงทุนในหุ้นรายตัว ที่เป็นส่วนประกอบของ หุ้นdax โดยตรง วิธีนี้ต้องศึกษาข้อมูลของแต่ละบริษัทอย่างละเอียดครับ เพราะถึงแม้จะเป็นบริษัทในดัชนีใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีเสมอไป และผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ เป็นหลัก
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน การวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญครับ อาจจะใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (technical analysis) ดูจากกราฟราคาและเครื่องมือต่างๆ เพื่อจับจังหวะซื้อขาย ควบคู่ไปกับการติดตามข่าวสารและ ปฏิทินเศรษฐกิจ เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลต่อ หุ้นdax
แต่ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหรือเทรด หุ้นdax สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจและยอมรับ ความเสี่ยง ครับ ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก (อย่างปี ๒๐๐๘), การระบาดของโรค (อย่าง Covid-19), หรือแม้กระทั่งฟองสบู่ทางเทคโนโลยี (อย่างปี ๒๐๐๐) ก็เคยส่งผลกระทบรุนแรงต่อ หุ้นdax มาแล้วทั้งนั้น
การลงทุนใน หุ้นdax หรือตราสารที่เกี่ยวข้อง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนได้เช่นกันครับ โดยเฉพาะการใช้ตราสารอนุพันธ์ที่มีมาร์จิ้น ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก
⚠️ ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ทางการเงินแต่ละประเภทให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
สรุปแล้ว หุ้นdax ก็เป็นเหมือนกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของยูโรโซน การติดตามความเคลื่อนไหว องค์ประกอบ และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อ หุ้นdax ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของ ECB, ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ทั้งของเยอรมนีและทั่วโลก จะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้ครับ
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่สนใจการเติบโตของบริษัทชั้นนำในเยอรมนี หรือนักเทรดที่มองหาโอกาสจากการเคลื่อนไหวของตลาด การทำความเข้าใจ หุ้นdax ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างรอบคอบและประสบความสำเร็จครับ!