เจาะลึกวิเคราะห์ SET50 วันนี้: โอกาสทองท่ามกลางตลาดผันผวน?

ช่วงนี้ใครที่ลงทุนหุ้นไทยอยู่ คงจะรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาใช่ไหมครับ? ตลาดแกว่งตัวแรงเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองทางไหนก็มีแต่เรื่องให้คิดไม่ตก วันนี้เรามาดูภาพรวมตลาดกัน โดยเฉพาะดัชนีที่หลายคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือ วิเคราะห์ set50 วันนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น มีปัจจัยอะไรมากระทบ แล้วแนวโน้มต่อไปจะเป็นยังไงกันแน่

ล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือดัชนี SET ของเราก็ปิดตลาดแบบเซ็งๆ ไปที่ ๑,๒๙๖.๕๙ จุด ปรับลงมาเกือบ ๑๐ จุด หรือคิดเป็น -๐.๗๖% เลยทีเดียวครับ วันนั้นราคาเปิดอยู่ที่ ๑,๓๐๕.๑๓ จุด เคยขึ้นไปสูงสุดที่ ๑,๓๐๕.๒๐ จุด ก่อนจะรูดลงไปต่ำสุดที่ ๑,๒๘๘.๕๘ จุด แล้วค่อยๆ ดีดขึ้นมาปิดที่ระดับดังกล่าว มูลค่าซื้อขายรวมอยู่ที่กว่า ๔ หมื่นล้านบาท ถือว่าไม่ได้คึกคักมากนัก มองภาพรวมหุ้นรายตัว ทั้งตลาด SET และตลาด mai ก็มีทั้งหุ้นที่ราคาบวก หุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง และหุ้นที่ราคาติดลบ คละๆ กันไป ใกล้เคียงกันทั้งจำนวนหุ้นที่บวกและลบ

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตลาดซึมๆ ในช่วงนี้ก็มีหลายอย่างเลยครับ นักวิเคราะห์หลายคนชี้ตรงกันเรื่อง ‘สงครามการค้า’ ที่สหรัฐฯ กำลังเปิดฉากกับบางประเทศ นี่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าโลก และไทยเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก เลยโดนลูกหลงไปด้วย ความกังวลนี้ทำให้ตลาดหุ้นรวมถึงตลาดอนุพันธ์อ่อนตัวลงตามไปด้วย บางวันตลาดก็ลงเพราะความ ‘ตกใจ’ จากข่าวไม่คาดฝัน อย่างเรื่องแผ่นดินไหว หรือความกังวลเรื่องสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าเพิ่ม รวมถึงเรื่องเงินเฟ้อที่ยังเป็นประเด็นอยู่ นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมาเราก็เห็นแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ปรับตัวลง จากตัวเลขนักท่องเที่ยวบางส่วนที่ชะลอตัวลงบ้าง

แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ไปซะทั้งหมด บางช่วงเราก็เห็นตลาด ‘เด้งกลับ’ ขึ้นมาได้บ้าง ตามบรรยากาศดีๆ ของตลาดหุ้นในภูมิภาค ได้แรงหนุนจากหุ้นใหญ่ๆ อย่างกลุ่มสื่อสาร หรือกลุ่มพลังงาน อย่างช่วงบ่ายวันก่อนหน้า ก็มีแรงดีดขึ้นมาได้บ้างตามตลาดล่วงหน้าของสหรัฐฯ อย่างดาวน์โจนส์ ช่วยคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าไปได้ชั่วขณะหนึ่ง

ทีนี้มาฟังเสียงจากผู้รู้กันบ้างครับ เพื่อช่วยให้เรา วิเคราะห์ set50 วันนี้ ได้ชัดเจนขึ้น คุณวรุต รุ่งขำ จาก บล. วายแอลจี บูลเลี่ยน ฟิวเจอร์ส มองแนวโน้มของ SET50 Index Futures ซึ่งเป็นการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อิงกับดัชนี SET50 ว่า มีโอกาสที่จะ ‘รีบาวด์’ หรือดีดกลับขึ้นมาได้นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะตอนนี้มันเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ‘ขายมากเกินไป’ (oversold) ทั้งในกราฟรายวันและ ๖๐ นาที ซึ่งในทางเทคนิคถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการกลับตัวขึ้น

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ช่วยหนุนก็มี อย่างตลาดหุ้นใหญ่ๆ ในเอเชียอย่างฮ่องกงกับจีนก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว อันนี้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้ตลาดเกิดใหม่แบบไทยได้ด้วย เพราะนักลงทุนมักจะมองภาพรวมของภูมิภาค… และที่สำคัญคือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่าลงนิดๆ หน่อยๆ อันนี้ช่วยลดแรงกดดันไม่ให้เงินลงทุนจากต่างชาติไหลออกไปมากนัก เพราะเมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง การนำเงินสกุลอื่นมาลงทุนในตลาดที่ใช้สกุลท้องถิ่น (อย่างเงินบาท) ก็จะดูน่าสนใจขึ้น อีกเรื่องที่จบไปแล้วคือ การปรับสมดุลดัชนี MSCI ซึ่งเป็นการปรับน้ำหนักการลงทุนของกองทุนต่างชาติที่อิงดัชนีนี้ อันนี้ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของตลาดในช่วงนี้ได้ เพราะแรงขายที่เกิดจากการปรับพอร์ตก็จบลงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัจจัยที่ต้องกังวลนะ ปัจจัยกดดันที่หลายคนมองก็คือ ‘นโยบายภาษีการค้า’ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะถ้าคุณโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี กลับมามีบทบาทอีกครั้ง นโยบายของเขาค่อนข้างชัดเจนเรื่องการปกป้องการค้าภายในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้… และผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ล่าสุดก็ออกมาบอกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแบบ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ ไม่ได้รีบเร่งเท่าที่ตลาดเคยคาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ ก็เลยทำให้ตลาดผิดหวังนิดหน่อย นักลงทุนเลยมองว่า FED อาจจะยังไม่ลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี อย่างเดือนธันวาคมเลยก็ได้ อันนี้ก็เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

นักวิเคราะห์ท่านอื่นๆ ก็มีมุมมองใกล้เคียงกัน อย่างคุณชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ จาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ก็เห็นว่าตลาดรีบาวด์ตามภูมิภาคและมีแรงซื้อหุ้นใหญ่กลับเข้ามา หรือคุณจรณเวท ศักดิ์ศรี จาก บริษัท คลาสสิก ออสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด ก็มองว่าตลาดปรับลงมาจากปัจจัยลบทั้งหลายที่เล่าไปก่อนหน้า ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว (ที่ส่งผลเชิงจิตวิทยา) ภาษี เงินเฟ้อ หรือตัวเลขท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ส่วนคุณณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ จาก บล. โกลเบล็ก ก็เห็นว่าตลาดมีการย่อตัวลงในช่วงท้ายตลาดวันก่อนหน้า จากความกังวลเรื่องสงครามการค้านั่นเอง

ส่วนปัจจัยในบ้านเราที่ต้องจับตาคือ การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ซึ่งอาจจะมีมาตรการหรือนโยบายอะไรออกมาที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการลงทุน ซึ่งถ้ามีข่าวดีออกมาก็อาจจะช่วยหนุนตลาดได้ นอกจากนี้ การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของไทยเอง และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและทิศทางของเงินบาทด้วย

อีกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้และเกี่ยวข้องกับการ วิเคราะห์ set50 วันนี้ ในระยะยาวก็คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เค้ามีการ ‘ปรับเกณฑ์’ ในการคัดเลือกหุ้นเข้าคำนวณดัชนีต่างๆ นะครับ ทุกครึ่งปีจะมีการประกาศรายชื่อใหม่ๆ อย่างเช่น ดัชนี SET50 และ SET100 ที่เราคุยกันนี่แหละ ซึ่งเกณฑ์พวกนี้จะมีการทบทวนและปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ

ล่าสุด เค้าก็มีดัชนีใหม่ที่คำนวณแบบปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float Adjusted) ด้วยนะ อย่าง SET50FF และ SET100FF อันนี้ก็เพื่อให้ดัชนีสะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดจริงๆ ได้ดีขึ้น เพราะหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยน้อย การซื้อขายก็จะน้อยตามไปด้วย การปรับแบบ Free Float ก็จะให้น้ำหนักกับหุ้นที่ซื้อขายได้คล่องตัวกว่า และในการคัดเลือกครั้งต่อไป เค้าก็จะปรับเกณฑ์เรื่อง ‘อัตราหมุนเวียนการซื้อขาย’ (Turnover ratio) ซึ่งเป็นการวัดความถี่ในการซื้อขายหุ้นในตลาด โดยจะปรับระดับเริ่มต้นในการพิจารณาที่ ๒% ด้วยครับ อันนี้ก็จะมีผลกับการเข้า-ออกของหุ้นในดัชนีในรอบต่อๆ ไป

มีบทวิเคราะห์จาก บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) คาดการณ์หุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 ในรอบครึ่งแรกปี ๒๕๖๘ ด้วยนะ อย่าง BANPU, SAWAD, COM7, CCET หุ้นเหล่านี้ต้องไปติดตามกันต่อ ว่าการซื้อขายหรือปัจจัยอื่นๆ จะเป็นไปตามเกณฑ์ใหม่หรือไม่ จำได้ไหมครับว่าหุ้นอย่าง DELTA หรือ BJC ก่อนหน้านี้ก็เคยวิ่งขึ้นรับข่าวเรื่องการปรับเกณฑ์นี่แหละ ที่ทำให้มีโอกาสกลับเข้า SET50 ได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์พวกนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาเหมือนกัน

มองในแง่ ‘เทคนิค’ บ้าง เพื่อช่วยในการ วิเคราะห์ set50 วันนี้ เพิ่มเติม กราฟบางแบบอาจจะยังดูไม่ค่อยดีนัก อย่างกราฟ Heikin-Ashi ที่บางแหล่งวิเคราะห์บอกว่ายังไม่สวยเท่าไหร่ บอกว่ายังมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลงต่อได้ ก็ต้องระวังเวลาจะเข้าซื้อ เพราะความเสี่ยงในการลงต่อยังมีอยู่

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ค่า RSI ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดแรงซื้อแรงขายในตลาดเนี่ย ตอนที่รายงานข้อมูลล่าสุด อยู่ที่ ๖๑.๕๓ ถือว่ายังค่อนข้างสูงนะ ถ้าเกิน ๕๐ แสดงว่าฝั่งคนซื้อยังมีกำลังอยู่บ้าง ยังพอจะควบคุมตลาดได้ ไม่ได้อ่อนแรงไปเสียทีเดียว ส่วนค่า MACD ตัวที่บอกแนวโน้มการเคลื่อนไหว ตอนนี้กราฟมันตัดขึ้นมาได้แล้วในค่าที่ -๑๕.๖๖๖๙๖ ถึงแม้จะเป็นค่าที่ติดลบ (ต่ำกว่าศูนย์) อันนี้ก็มองเป็นบวกได้นะในเชิงสัญญาณซื้อระยะสั้น แต่เนื่องจากเส้น MACD ยังอยู่ต่ำกว่าศูนย์อยู่ ก็อาจจะบอกว่าราคาอาจจะยังแกว่งตัวในกรอบไปอีกพัก ยังไม่พุ่งขึ้นไปแรงๆ ทันที

สรุปภาพรวม วิเคราะห์ set50 วันนี้ และแนวโน้มในระยะใกล้ ก็คือ ตลาดกำลังต่อสู้กับปัจจัยลบภายนอกเป็นหลัก ทั้งเรื่องสงครามการค้าที่ยังคุกรุ่น นโยบายของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ไม่ผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยเท่าที่ตลาดคาดหวัง และปัจจัยภายในที่ยังรอความชัดเจนจากมาตรการรัฐบาลและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีสัญญาณดีๆ เข้ามาบ้าง ทั้งภาวะ oversold ของ SET50 Futures การฟื้นตัวของตลาดภูมิภาค และเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง

สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาจังหวะ หรือกำลังถือหุ้นอยู่ในช่วงนี้ ถ้าเห็นตลาดอ่อนตัวลงมาจนเข้าสู่ภาวะ oversold อย่างที่นักวิเคราะห์มอง บางทีก็เป็นโอกาสในการเข้าสะสมนะ อย่างที่นักวิเคราะห์มองว่า SET50 Futures อาจจะมีการรีบาวด์ได้ แต่ก็ต้องเลือกหุ้นดีๆ ที่พื้นฐานแข็งแกร่ง มีปัจจัยเฉพาะตัวสนับสนุน หรือรอจังหวะที่ตลาดนิ่งกว่านี้ มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนเข้ามามากกว่านี้ก็ได้ การลงทุนใน SET50 Index Futures ก็เช่นกัน ต้องเข้าใจลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และบริหารความเสี่ยงให้ดี

⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมีความผันผวนสูงมาก ทั้งจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละอุตสาหกรรม ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะในหุ้นหรือ SET50 Index Futures ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนเสมอ อย่าลงทุนตามกระแสหรือข่าวลือเด็ดขาดนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุน และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดครับ!

Leave a Reply