เจาะลึกดัชนีแนสแดควันนี้: โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้!

มองหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่หรือเปล่า? ถ้าใช่ เชื่อว่าชื่อของ “แนสแด็ก” (Nasdaq) ต้องเคยแวบเข้ามาในความคิดคุณแน่ๆ โดยเฉพาะ ดัชนีแนสแดควันนี้ ว่าจะเป็นยังไงต่อ เพราะนี่คือดัชนีที่ได้ชื่อว่าเป็น “บ้าน” ของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แล้วเจ้าแนสแด็กนี่มันคืออะไร มีเสน่ห์ตรงไหน ทำไมถึงน่าจับตา วันนี้เรามาคุยกันแบบสบายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังดีกว่าครับ

หลายคนอาจจะสับสนว่าแนสแด็กกับตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) ต่างกันยังไง อธิบายง่ายๆ ว่าทั้งคู่คือตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เหมือนกับที่เรามีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั่นแหละครับ แต่แนสแด็กเนี่ยเค้าเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลก และมีบริษัทจดทะเบียนเยอะมากๆ ประมาณ 4,000-5,000 แห่งเลยทีเดียว ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยนะ! เวลาซื้อขายบ้านเราก็จะเป็นช่วงค่ำๆ ไปจนถึงเช้าตรู่ เพราะเวลาที่นั่นมันคนละซีกโลกกับเรา

แล้วอะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนหลักของแนสแด็กล่ะ? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่” ครับ พวกบริษัทที่ชื่อดังระดับโลกที่เราใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการเค้าอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นหัวใจสำคัญเลย การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่มันเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละเป็นตัวเร่งให้บริษัทเหล่านี้เติบโต และดันดัชนีแนสแด็กให้พุ่งขึ้นมา หลายปีก่อนหน้านี้ ที่เศรษฐกิจโลกมีมาตรการกระตุ้น อัดฉีดเงินเข้าระบบ แถมอัตราดอกเบี้ย (อัตราดอกเบี้ย) ก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เม็ดเงินลงทุนมหาศาลก็เลยไหลเข้าหุ้นกลุ่มเติบโตนี่แหละ แถมผลประกอบการ (ผลประกอบการ) ของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็แข็งแกร่งมากๆ แม้บางทีนักวิเคราะห์จะเริ่มมองว่าการเติบโตในอนาคตอาจจะเริ่มชะลอลงบ้างแล้วก็ตาม

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบนะครับ ตลาดหุ้นมันก็มีขึ้นมีลง มีปัจจัยภายนอกที่ต้องกังวลอยู่เหมือนกัน เช่น สงครามการค้า หรือการที่ประเทศอื่นๆ มีความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI – Artificial Intelligence) หรือเทคโนโลยีล้ำๆ อื่นๆ แซงหน้าสหรัฐไปรึเปล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องที่นักลงทุนจับตามอง เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันได้

ทีนี้มาดูตัวแปรสำคัญระดับชาติกันบ้าง นั่นก็คือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed – เฟด) ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้คุมกฎด้านการเงินของอเมริกาเลยครับ ในช่วงที่ผ่านมา การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องนี่แหละ เป็นตัวกดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตอย่างหนักหน่วง เพราะหุ้นพวกนี้มูลค่าในอนาคตสูง การที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้มูลค่าในอนาคตเมื่อคิดกลับมาเป็นปัจจุบันมันลดลง (อันนี้อาจจะซับซ้อนนิดหน่อย เอาเป็นว่าดอกเบี้ยขึ้น หุ้นเทคเหนื่อยว่าง่ายๆ) แต่ตอนนี้ ตลาดส่วนใหญ่เริ่มคาดการณ์กันแล้วครับว่าเฟดน่าจะ “หยุด” การขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และอาจจะเริ่มพิจารณา “ลด” ดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งอันนี้เป็นข่าวดีสำหรับแนสแด็กเลยนะ เพราะสถิติในอดีตบอกไว้ว่า หลังจากที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ดัชนีแนสแด็กมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ในช่วงหนึ่งปีหลังจากนั้นครับ มุมมองนี้ก็สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์หลายๆ ท่าน หรือผู้จัดการกองทุนจากบลจ.ต่างๆ อย่าง บลจ.ทิสโก้ หรือ บลจ.กรุงศรี ได้ให้ความเห็นไว้

เวลาเราพูดถึง ดัชนีแนสแดควันนี้ เรามักจะหมายถึงตัวเลขหลักๆ สองตัวนะครับ คือ “ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิต” (Nasdaq Composite – IXIC) กับ “ดัชนีแนสแด็ก 100” (Nasdaq 100 – NDX) ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตเนี่ย คือตัวที่รวมหุ้นสามัญเกือบทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็กเลย ประมาณ 3,000 กว่าบริษัท เป็นตัวที่สะท้อนภาพรวมของตลาดแนสแด็กทั้งหมด ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ ตัวเลขล่าสุดของดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตอยู่ที่ประมาณ 19,112.32 จุด (ตัวเลขนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะครับ) แล้วก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมาพักใหญ่แล้ว ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง

ส่วนอีกตัวที่นักลงทุนนิยมดูกันมาก เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีตัวเป้งๆ เลย ก็คือ “ดัชนีแนสแด็ก 100” ครับ ดัชนีนี้คัดมาเฉพาะ 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดแนสแด็ก โดยไม่นับรวมกลุ่มการเงิน เป็นดัชนีที่เน้นบริษัทเทคโนโลยี โทรคมนาคม เทคโนโลยีชีวภาพ สื่อ และบริการ เป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับหุ้นกลุ่มเติบโต ตัวนี้แหละครับที่รวมหุ้นสุดฮิตอย่าง Apple (NASDAQ:AAPL), Microsoft (NASDAQ:MSFT), Nvidia (NASDAQ:NVDA), Amazon (NASDAQ:AMZN), Alphabet (NASDAQ:GOOGL) เอาไว้ และด้วยความที่รวมแต่ตัวท็อปๆ ที่เน้นการเติบโต ทำให้ในระยะยาว ดัชนีแนสแด็ก 100 มีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งมากๆ อย่างข้อมูลในอดีตก็แสดงให้เห็นว่าในหลายช่วงเวลา ดัชนีนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงลิ่ว เช่น เพิ่มขึ้นกว่า 200% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และกว่า 550% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ซึ่งการคำนวณดัชนีเหล่านี้จะใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัท (Market Capitalization) โดยแนสแด็ก 100 จะมีการปรับวิธีการคำนวณนิดหน่อยเพื่อให้กระจุกตัวน้อยลง (Modified-Market-Cap-Weighted)

นอกจากปัจจัยภาพใหญ่และตัวดัชนีแล้ว ข่าวสารของบริษัทจดทะเบียนก็สำคัญมากๆ ครับ ผลประกอบการที่ประกาศออกมา การเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือแม้แต่ข่าวการซื้อขายกิจการ (M&A – Mergers and Acquisitions) อย่างกรณีที่ แนสแด็ก อิงค์ (Nasdaq, Inc.) ซื้อกิจการบริษัท Adenza หรือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO – Initial Public Offering) ของบริษัทดังๆ อย่าง Arm หรือ Trump Media ก็ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของ ดัชนีแนสแดควันนี้ ได้โดยตรงเลย เหมือนเวลาที่เราติดตามข่าวสารของบริษัทในตลาดหุ้นไทยนั่นแหละครับ

ทีนี้ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนใน ดัชนีแนสแดควันนี้ หรือหุ้นเทคโนโลยีในแนสแด็ก ก็มีหลายช่องทางนะครับ ทั้งการซื้อหุ้นรายตัวโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศ หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่เน้นลงทุนในดัชนีแนสแด็ก ซึ่งอันนี้เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยม เพราะสะดวก จัดการง่าย และกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการเลือกซื้อหุ้นรายตัว

แต่จำไว้เลยนะครับว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงสูง! โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดต่างประเทศ หรือในตราสารทางการเงินที่มีความผันผวนสูงแบบหุ้นเทคโนโลยี ข้อมูลราคาหรือตัวเลขต่างๆ ที่เราเห็นอาจจะไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ ตลอดเวลา ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ด้วยตัวเองเสมอ อย่าเชื่อข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์โดยไม่ตรวจสอบเพิ่มเติมนะครับ เหมือนเวลาจะซื้อของแพงๆ เรายังต้องเช็คแล้วเช็คอีกเลย การลงทุนก็เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้เครื่องมือที่มีระบบเลเวอเรจ (Leverage) หรือมาร์จิ้น (Margin) ความเสี่ยงยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

สรุปง่ายๆ ดัชนีแนสแด็กก็เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนโลกของเทคโนโลยี การเติบโต และนวัตกรรม เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมากๆ โดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI, AR/VR, หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ดัชนีแนสแด็ก 100 มีโอกาสได้รับประโยชน์โดยตรง แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการให้ดี การติดตามข่าวสาร ทั้งจากบริษัทใหญ่ๆ นโยบายของเฟด และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น บทวิเคราะห์จาก Bloomberg, Goldman Sachs หรือมุมมองจากผู้บริหารบลจ.ในไทย ก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจลงทุนครับ

สุดท้ายนี้ ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า การลงทุนในตราสารทางการเงินมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของคุณในตลาดหุ้นโลกนี้ครับ

Leave a Reply