
เอาล่ะครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มานาน ผมจะช่วยเรียบเรียงเรื่องราวซับซ้อนให้กลายเป็นบทความที่อ่านเพลิน เข้าใจง่าย สไตล์คุยกับเพื่อน แต่ยังเข้มข้นด้วยข้อมูลและมุมมองที่น่าเชื่อถือ เหมือนที่เราคุยกันเรื่องลงทุนยามบ่ายหลังจิบกาแฟ
—
**เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นกับ กราฟหุ้นอังกฤษ? สหราชอาณาจักรแซงอินเดียขึ้นที่ 6 ของโลกแล้วเหรอเนี่ย!**
สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน (และเพื่อนๆ ที่แค่อยากรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ) ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารการเงินระดับโลก อาจจะเห็นหัวข้อข่าวที่น่าสนใจผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพี่ใหญ่สหรัฐฯ ที่เจอแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นยุโรปที่ดูซึมๆ ไปบ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกว่า “ว้าว!” และอาจทำให้หลายคนหันไปมอง กราฟหุ้นอังกฤษ กันอีกครั้ง นั่นก็คือ ข่าวที่ตลาดหุ้นสหราชอาณาจักรผงาดแซงหน้าอินเดีย ขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของตลาดหุ้นที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้สำเร็จ!
หลายคนอาจจะงงว่า เฮ้ย! อินเดียที่กำลังเติบโตแรงๆ ทำไมถึงโดนแซงล่ะ? แล้วตลาดหุ้นอังกฤษ (กราฟหุ้นอังกฤษ) ที่เราอาจจะไม่ได้พูดถึงบ่อยเท่าตลาดหุ้นอเมริกาหรือจีน มีดีอะไรถึงกลับมาผงาดได้ขนาดนี้? วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ พร้อมชวนไปดูว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง และมันส่งผลอะไรกับพวกเราที่สนใจเรื่องลงทุนบ้างหรือเปล่า
**ตลาดโลกสั่นคลอน…แต่บางที่ก็มีเรื่องดีๆ?**
ก่อนอื่นเรามาดูกันภาพรวมตลาดใหญ่ๆ ทั่วโลกก่อนนะครับ ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดูมีอาการผันผวนอยู่เหมือนกัน หลังจากที่รายงานการประชุมล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “เฟด” (Fed) ถูกเปิดเผยออกมา รายงานนี้ทำให้บรรดานักลงทุนไปนั่งขบคิดกันใหญ่ เพราะมันบอกใบ้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
พูดถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยนี่สำคัญมากเลยนะครับ เพราะมันคือต้นทุนทางการเงิน ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วหรือแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจทำให้การลงทุนดูไม่น่าสนใจเท่าเดิม หุ้นของบริษัทต่างๆ ก็อาจโดนเทขายออกมา ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเองก็ดูอ่อนแรงลงมาบ้าง หลังจากมีข้อมูลเงินเฟ้อจากเยอรมนี ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจในยุโรปออกมาให้เห็นว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่เลยครับ อย่างเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เงินเฟ้อรายปีของเยอรมนีพุ่งไป 8.7% ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้าเสียอีก (เดือนมกราคมอยู่ที่ 8.6%) ตัวเลขพวกนี้ทำให้คนกังวลว่าธนาคารกลางยุโรปอาจจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยสูงๆ หรือขึ้นต่ออีก ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปเลยดูไม่ค่อยมีแรงวิ่งเท่าไหร่
แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้เอง ตลาดหุ้นสหราชอาณาจักร หรือถ้าให้เจาะจงไปที่ดัชนีหลักอย่าง **ดัชนี FTSE 100 (ฟุตซี่ ร้อย)** ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของบริษัทใหญ่ที่สุด 100 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSE – London Stock Exchange) กลับมีเรื่องน่าดีใจ เพราะมูลค่าตลาดโดยรวมของบริษัทในสหราชอาณาจักรแซงหน้าอินเดียขึ้นมาได้!
**ทำไมตลาดหุ้นอังกฤษ (กราฟหุ้นอังกฤษ) ถึงแซงอินเดียได้ล่ะ? เบื้องหลังคืออะไร?**
เรื่องนี้มีเบื้องหลังที่น่าสนใจครับ ปัจจัยหลักๆ ที่นักวิเคราะห์มองเห็นมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1. **เงินปอนด์อ่อนค่า:** ฟังดูแปลกๆ ใช่ไหมครับว่าเงินอ่อนค่าแล้วตลาดหุ้นจะดีได้ไง? แต่มันมีผลกับบริษัทในดัชนี FTSE 100 โดยเฉพาะครับ เพราะบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่ไปทำธุรกิจและมีรายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก พอเงินปอนด์ (GBP – สกุลเงินของสหราชอาณาจักร) อ่อนค่าลง กำไรที่ได้จากต่างประเทศเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินปอนด์ก็จะดูเยอะขึ้น พูดง่ายๆ คือ บริษัทเหล่านี้ได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนครับ ผลประกอบการเลยดูดีขึ้น ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเหล่านี้มากขึ้น และดันมูลค่ารวมของตลาดขึ้นไป

2. **ความกังวลเกี่ยวกับกลุ่ม Adani ในอินเดีย:** ในช่วงเวลาเดียวกัน ทางฝั่งอินเดียมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับกลุ่มบริษัท Adani ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ในอินเดีย ถูกบริษัท Short Seller (ผู้ขายชอร์ต – คือคนที่เชื่อว่าราคาหุ้นจะตกแล้วหาประโยชน์จากตรงนั้น) จากสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยรายงานวิจารณ์อย่างหนักหน่วง รายงานนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนทั่วโลก และส่งผลให้มูลค่าตลาดของกลุ่ม Adani ร่วงลงไปอย่างมหาศาลถึง 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียวครับ ซึ่งการร่วงลงของกลุ่มบริษัทใหญ่ขนาดนี้ก็ฉุดให้มูลค่าตลาดรวมของอินเดียลดลงตามไปด้วย
สองปัจจัยนี้บวกกัน ทำให้ตลาดหุ้นสหราชอาณาจักร (กราฟหุ้นอังกฤษ) มีโมเมนตัมที่ดีขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียเจอแรงกดดันหนัก ทำให้เกิดการแซงอันดับขึ้นมาได้ในที่สุดครับ
**มาทำความรู้จัก กราฟหุ้นอังกฤษ: ดัชนี FTSE 100 กันให้มากขึ้น**
ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว เรามาเจาะลึกตัวเอกของเราวันนี้ นั่นก็คือ **ดัชนี FTSE 100** กันหน่อยดีกว่าครับ
ดัชนีนี้ไม่ได้เพิ่งมีนะครับ เขามีประวัติยาวนานพอสมควร เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) โดยตั้งค่าเริ่มต้นไว้ที่ 1,000 จุด การคำนวณค่าดัชนีจะทำแบบเรียลไทม์ตลอดเวลาซื้อขาย โดยใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market Cap Weighted) หมายความว่า บริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ หุ้นของบริษัทนั้นก็จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากครับ
ดัชนี FTSE 100 ถือเป็นเหมือนเครื่องวัดสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหราชอาณาจักรเลยก็ว่าได้ครับ เพราะมันรวมบริษัทใหญ่ๆ ที่เป็นหัวเรือสำคัญไว้ถึง 100 บริษัท เวลาเศรษฐกิจดี บริษัทเหล่านี้ก็มักจะทำได้ดี ราคาหุ้นขึ้น ดัชนีก็ขึ้นตาม ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบ ราคาหุ้นตก ดัชนีก็ลงตาม นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของดัชนีนี้ยังมีผลสำคัญต่อ “กองทุนบำเหน็จบำนาญ” ในอังกฤษด้วยนะครับ เพราะกองทุนเหล่านี้จำนวนมากลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ FTSE 100
ถ้าดูจากข้อมูลที่เรามี ค่าปัจจุบันของดัชนี FTSE 100 อยู่ที่ประมาณ 8,559.32 ปอนด์สเตอร์ลิง (ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดนะครับ) มีการเปลี่ยนแปลงในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาเล็กน้อย ประมาณ -0.44% แต่ถ้ามองภาพใหญ่ขึ้น จะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา เขาทำผลงานได้ค่อนข้างดีเลยครับ ในรอบ 1 สัปดาห์บวกไป +1.14%, ในรอบ 1 เดือนบวกไปถึง +6.27% และในรอบ 1 ปีก็ยังเป็นบวกอยู่ที่ +4.21% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมาครับ
เคยมีช่วงที่ดัชนีนี้พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ที่ 8,908.82 ปอนด์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 2025 (อันนี้เป็นข้อมูลตามแหล่งที่มานะครับ อาจจะต้องตรวจสอบปีอีกครั้ง แต่ถ้าตามข้อมูลคือปี 2025) และเคยลงไปต่ำสุดถึง 1,717.70 ปอนด์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ปี 1988 เลยทีเดียว!
บริษัทที่เป็นส่วนประกอบใหญ่ๆ ในดัชนี FTSE 100 เช่น Astrazeneca (AZN – บริษัทเวชภัณฑ์), HSBC Holdings (HSBA – ธนาคาร), และ Shell (SHEL – พลังงาน) ส่วนหุ้นที่ราคาต่อหน่วยสูงๆ ก็มีอย่าง Games Workshop (GAW), Next Plc (NXT), London Stock Exchange Group (LSEG)
ส่วนหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (จากข้อมูล) คือ Coca-Cola Europacific Partners (CCEP) ที่พุ่งขึ้นถึง +9,910% เลยทีเดียว (ตัวเลขนี้สูงมากจริงๆ นะครับ อาจต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ข้อมูลบอกมาแบบนี้) ส่วนตัวที่อ่อนแอที่สุดคือ Croda International (CRDA) ที่ติดลบไป -36.07%
**อยากลงทุนใน กราฟหุ้นอังกฤษ ทำได้เลยไหม?**
ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจนิดนึงครับว่า เราไม่สามารถ “ลงทุนในดัชนี” ได้โดยตรง เหมือนที่เราซื้อหุ้นบริษัท Apple หรือ Tesla ดัชนีมันเป็นแค่ตัวเลขที่สะท้อนค่าเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นครับ
แต่ถ้าเราอยากจะลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนี FTSE 100 เราสามารถทำได้หลายวิธีครับ เช่น
* **ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures):** เป็นการตกลงซื้อขายดัชนีนี้ในอนาคต
* **ลงทุนผ่านกองทุนรวม (Funds) หรือ ETF (Exchange Traded Funds):** กองทุนเหล่านี้จะไปลงทุนในหุ้นต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี FTSE 100 ในสัดส่วนใกล้เคียงกับที่ดัชนีใช้ถ่วงน้ำหนัก เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับดัชนี
* **ลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีโดยตรง:** เราอาจจะเลือกซื้อหุ้นเป็นรายตัวจากบริษัทที่อยู่ใน FTSE 100 ที่เราสนใจ
**ปัจจัยอื่นๆ ที่กำลังเป็นข่าวและอาจส่งผลต่อตลาด**
นอกจากเรื่องใหญ่ๆ ที่เล่าไปแล้ว ยังมีข่าวคราวจากบริษัทต่างๆ ที่น่าสนใจและอาจส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนด้วยครับ เช่น
* บริษัทเหมืองแร่อย่าง Anglo American ต้องบันทึก “ด้อยค่าสินทรัพย์” (Asset Impairment – คือการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ลงในบัญชี) จำนวนมหาศาลถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการเหมืองปุ๋ยในอังกฤษ เพราะคาดว่างบประมาณจะบานปลายและใช้เวลานานกว่าที่คิด ข่าวแบบนี้ก็อาจกดดันราคาหุ้นของบริษัทและกระทบต่อดัชนีได้
* ข่าวกลุ่ม Adani ในอินเดียที่เราพูดถึงไปแล้ว ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าข่าวเชิงลบเกี่ยวกับบริษัทใหญ่ๆ แค่ไม่กี่บริษัทก็สามารถส่งผลกระทบต่อมูลค่าตลาดรวมทั้งประเทศได้
* บริษัทอื่นๆ เช่น BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่รายงานยอดขายเพิ่มขึ้น หรือ Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์ ที่ผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วยกับแผนค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง หรือแม้แต่ GameStop หุ้นมีม (meme stock) ที่ CEO ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง ก็ล้วนเป็นข่าวเฉพาะตัวบริษัทที่นักลงทุนติดตามกันอยู่
**สิ่งที่ต้องพึงระลึกเสมอ: การลงทุนมีความเสี่ยง!**
มาถึงส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยครับ คือเรื่องของความเสี่ยง
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นโดยตรง การซื้อขายตราสารทางการเงินอื่นๆ หรือแม้แต่เงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่หลายคนให้ความสนใจ ต้องย้ำเตือนกันเสมอว่า “มีความเสี่ยงสูง” นะครับ
ข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงที่เราได้รับมา ก็เน้นย้ำเรื่องนี้ชัดเจนว่า เราอาจสูญเสียเงินลงทุนไปบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลย การลงทุนพวกนี้อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะคนที่รับความเสี่ยงสูงๆ ไม่ได้ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ผันผวนมากครับ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเต็มๆ

ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ กราฟหุ้นอังกฤษ หรือหุ้นไทยนะครับ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจากวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ และที่สำคัญคือ “ระดับการยอมรับความเสี่ยง” ของตัวเองครับว่าไหวแค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
นอกจากนี้ ข้อมูลราคาหรือ กราฟหุ้นอังกฤษ ที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ บางครั้งอาจไม่ใช่ราคาเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจมีความคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย ไม่เหมาะสำหรับการนำไปใช้เพื่อการซื้อขายแบบทันทีทันใดที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูงนะครับ แหล่งข้อมูลอย่าง Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลอื่นๆ มักจะมีข้อจำกัดความรับผิดชอบไว้ชัดเจนว่า เขาไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการซื้อขายหรือการพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้น
**บทสรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน**
เรื่องราวของ กราฟหุ้นอังกฤษ ที่แซงหน้าอินเดียขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ตลาดการเงินโลกนั้นเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนครับ ไม่ใช่แค่ข่าวในประเทศเราเท่านั้นที่มีผล สิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ (อย่างนโยบายเฟด), ในยุโรป (อย่างเงินเฟ้อเยอรมนี), หรือแม้แต่ข่าวคราวเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม และอาจมีผลกระทบต่อตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยของเราด้วยครับ
การติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ช่วยให้เราเห็นภาพรวม เข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาด และอาจใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนของเราได้
สำหรับใครที่มองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ หรือสนใจ กราฟหุ้นอังกฤษ เป็นพิเศษ ก็ต้องบอกว่ายังมีปัจจัยที่น่าจับตามองอีกเยอะครับ ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษเอง (BoE – Bank of England) และผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในดัชนี FTSE 100
แต่ไม่ว่าคุณจะสนใจตลาดไหน หุ้นตัวไหน หรือสินทรัพย์อะไร ขอให้จำหลักการสำคัญไว้เสมอครับ:
* **ศึกษาให้ลึก:** รู้จักสิ่งที่จะลงทุนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
* **เข้าใจความเสี่ยง:** ประเมินว่าเรารับได้แค่ไหน ถ้าตลาดไม่เป็นอย่างที่คิด
* **มีแผนการลงทุน:** ตั้งเป้าหมาย กำหนดระยะเวลา
* **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ใส่เงินทั้งหมดไว้ในสินทรัพย์เดียว (ถ้าทำได้)
* **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** ถ้าไม่มั่นใจ อย่าเดาสุ่ม
และที่สำคัญที่สุด…
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในตราสารทางการเงินมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วน หากคุณมีข้อจำกัดเรื่อง “สภาพคล่อง” ของเงินทุน หรือเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในเวลาอันใกล้มากๆ **โปรดประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ** และอาจพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้มากกว่าครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เห็นภาพรวมและเข้าใจเรื่องราวของ กราฟหุ้นอังกฤษ และตลาดการเงินโลกได้มากขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ!