เจาะกราฟ SET50: ไขความลับตลาดหุ้นไทย ทำกำไรได้จริงหรือ?

สวัสดีครับทุกท่าน พบกับผมอีกแล้วนะครับ คอลัมนิสต์การเงินที่พยายามจะย่อยเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก… แม้บางทีจะติดเปลือกบ้างก็เถอะนะ วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะถ้าสนใจตลาดหุ้นไทย นั่นก็คือ “SET50” ครับ และแน่นอนว่าขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของ กราฟ set50 ที่เปรียบเสมือนหัวใจของการวิเคราะห์ทางเทคนิคเลยทีเดียว

ลองคิดภาพตามนะครับ สมมติเพื่อนซี้อย่าง “น้องเก่ง” เพิ่งเริ่มสนใจลงทุน เดินมาถามผมตาแป๋วว่า “พี่ครับ SET50 คืออะไร แล้วผมจะรู้ได้ไงว่ามันขึ้นหรือลง ควรซื้อดีไหม?” คำถามนี้เป็นคำถามโลกแตกสำหรับมือใหม่เลยใช่ไหมครับ? เพราะการลงทุนเนี่ย มันมีความเสี่ยงสูงมากจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือแม้แต่เงินดิจิทัลที่กำลังฮิตๆ กันอยู่ ช่วงนี้ราคาเงินดิจิทัลก็ผันผวนยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกาอีกนะครับ บางทีแค่มีข่าวด้านการเงิน กฎหมาย หรือการเมืองมานิดเดียว ราคาก็วิ่งขึ้นวิ่งลงเหมือนปลาโดนน้ำร้อนเลย

ที่สำคัญคือ ถ้าไปเล่นแบบ “มาร์จิน” หรือการยืมเงินมาเทรดเนี่ย ความเสี่ยงยิ่งพุ่งปรี๊ดไปอีกหลายเท่าตัวเลยนะครับ เราอาจจะเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดได้เลย ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาให้ดี ดังนั้น ก่อนจะกระโดดเข้าสู่สนามนี้จริงๆ จังๆ เราต้องถามตัวเองก่อนเลยครับว่า เราลงทุนไปเพื่ออะไร รับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน และถ้าไม่แน่ใจ… อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนะครับ เหมือนเวลาป่วยก็ต้องไปหาหมอ อย่ามั่ววินิจฉัยเองนะครับ

ทีนี้กลับมาที่ SET50 คืออะไร? อธิบายง่ายๆ มันก็คือดัชนีที่รวมเอาหุ้นของ 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด มีสภาพคล่องสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครับ พูดง่ายๆ คือคัดเอาตัวท็อป 50 มาวัดผลรวมกัน ถ้า SET50 ขึ้น ก็แปลว่าหุ้นตัวใหญ่ๆ ส่วนใหญ่กำลังไปได้ดี ถ้า SET50 ลง ก็ตรงกันข้ามครับ มันเลยกลายเป็นดัชนีสำคัญที่นักลงทุนใช้ดูภาพรวมของตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่กัน

เวลาเราดูข้อมูลตลาด สิ่งที่เราเห็นบ่อยๆ ก็คือตัวเลขต่างๆ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง อย่างข้อมูลที่เรามีก็มีหลากหลายวันเลยครับ เช่น ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2567 เวลาประมาณตี 3 กว่าๆ ตลาดหลักทรัพย์ SET ภาพรวมตอนนั้นปิดลบไป 0.76% ปริมาณการซื้อขายก็หลักหมื่นล้านบาท ส่วน SET50 เองก็ปรับตัวลงเหมือนกันครับ ลบไป 0.82% ซึ่งตัวเลขพวกนี้ (ราคาเปิด, สูงสุด, ต่ำสุด, ปริมาณ, มูลค่าการซื้อขาย) ก็เหมือนกับ “ชีพจร” ของตลาดในแต่ละวันนั่นแหละครับ นอกจากดัชนีหลักๆ อย่าง SET, SET50 แล้ว ก็ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกเพียบเลยครับ ทั้ง SET100 (100 ตัวท็อป), mai (ตลาดหุ้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง) หรือดัชนีตามหมวดหมู่ต่างๆ เช่น หุ้นที่เน้นปันผล (SETHD) หรือหุ้นที่เข้าเกณฑ์ ESG (SETESG) ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 18 มิ.ย. 67 ที่เห็นนั้น ตลาด mai ก็ปิดลบไปถึง 1.91% เลยครับ ส่วนภาพรวมของตลาดตอนนั้น หุ้นที่ขึ้นมีมากกว่าหุ้นที่ลงนิดหน่อยใน SET แต่ใน mai หุ้นที่ขึ้นกับลงมีจำนวนเท่ากันเลยครับ

พอเห็นตัวเลขแล้ว บางคนก็อาจจะอยากรู้ลึกกว่านั้น ว่าแนวโน้มจะเป็นยังไงต่อ? อันนี้แหละครับที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามามีบทบาท และสิ่งสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คือ กราฟ set50 นี่แหละครับ กราฟนี่เหมือนแผนที่นำทางเลยนะ แต่แผนที่นี้ไม่ได้บอกว่าเราจะไปถึงที่หมายเมื่อไหร่ แค่บอกว่าที่ผ่านมาเส้นทางเป็นยังไง และอาจจะบอกแนวโน้มคร่าวๆ ในอนาคตอันใกล้ได้

เครื่องมือที่ใช้ดูกราฟก็มีหลายแบบครับ พวกที่เรียกว่า “อินดิเคเตอร์” (Indicators) หรือเครื่องมือชี้วัดต่างๆ เช่น Oscillators หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) พวกนี้จะช่วยบอกสัญญาณคร่าวๆ ว่าตอนนี้แรงซื้อเยอะ แรงขายเยอะ หรือว่าอยู่ในช่วงทรงๆ ตัว จากข้อมูลที่ได้มา อินดิเคเตอร์พวกนี้ก็ให้สัญญาณหลากหลายปนๆ กันไปครับ ทั้งบอกว่า “เป็นกลาง”, “มีแรงขาย”, “มีแรงซื้อ”, “มีแรงขายรุนแรง”, หรือ “มีแรงซื้อรุนแรง” แสดงให้เห็นว่าตลาดช่วงนั้นก็มีความไม่แน่นอนสูงเหมือนกัน

สำหรับคนที่เทรด SET50 Index Futures ในตลาด TFEX ยิ่งต้องดู กราฟ set50 แบบละเอียดเลยครับ มีคำแนะนำให้ตั้งค่ากราฟแบบนี้เลยนะ
1. ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time) คือเห็นความเคลื่อนไหวแบบสดๆ ไม่ใช่ข้อมูลเก่า
2. ใช้กราฟแบบต่อเนื่อง (Continuous) คือเอากราฟสัญญาเดือนต่างๆ มาต่อกัน จะได้เห็นภาพยาวๆ
3. เลือกประเภทกราฟเป็นกราฟแท่ง (Bar Chart) หรือ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) พวกนี้จะแสดงราคา เปิด-สูงสุด-ต่ำสุด-ปิด ได้ครบถ้วนในแต่ละช่วงเวลา
4. ลองดูกราฟในไทม์เฟรม (Time Frame) หรือช่วงเวลาที่สั้นลง เช่น 5 นาที หรือ 10 นาที จะได้เห็นความผันผวนระยะสั้นที่ละเอียดขึ้น
5. และถ้าดูกราฟรายวัน (Day Time Frame) อย่าลืมเพิ่มข้อมูล “สถานะคงค้าง” (Open Interest) เข้าไปด้วยนะครับ Open Interest นี่เหมือนจำนวนคนที่ยัง “เปิดเกม” หรือยังถือสัญญาฟิวเจอร์สอยู่น่ะครับ ถ้า Open Interest ลดลงเยอะๆ อาจจะบ่งชี้ว่าแนวโน้มกำลังอ่อนแรงลงได้ (แต่ก็ต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วยนะ) อย่างข้อมูลล่าสุดของสัญญา S501! (ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาที่ใกล้หมดอายุและมีคนเทรดเยอะ ณ วันที่ข้อมูล) ณ วันที่ 23 เมษายน 2568 ก็เห็นว่าราคาปรับลดลงนิดหน่อยในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และจำนวนสัญญาคงค้าง (Open Interest) ก็มีข้อมูลให้ดูด้วย ซึ่งการลดลงของค่านี้ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่น่าสนใจครับ

นอกจากซื้อขายโดยตรงแล้ว การลงทุนใน SET50 ก็ทำได้ง่ายๆ ผ่าน “กองทุนรวม” (Mutual Fund) ที่อิงดัชนี SET50 ครับ พวกนี้ก็เหมือนเอาเงินของเราไปรวมกับคนอื่นๆ แล้วให้ผู้จัดการกองทุนเอาเงินก้อนใหญ่ไปซื้อหุ้น 50 ตัวนั้นตามสัดส่วนในดัชนี SET50 เค้าเรียกว่า “กองทุนรวมดัชนี” (Index Fund) ครับ เป้าหมายคือทำให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 Total Return มากที่สุด

มีกองทุนแบบนี้หลายกองเลยครับ เช่น กองทุน K-SET50 ของ บลจ. กสิกรไทย หรือ กองทุน SCBSET50 (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 INDEX ชนิดสะสมมูลค่า) ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จากข้อมูล ณ วันที่ 23 เมษายน 2568 กองทุน SCBSET50 นี้จัดเป็นกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) นะครับ เหมาะกับคนที่รับความผันผวนของตลาดหุ้นได้และมองเป็นการลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป และกองนี้ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลครับ คือผลตอบแทนที่ได้ก็จะทบกลับเข้าไปในมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV)

พูดถึงมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของ SCBSET50 ณ วันที่ 23 เมษายน 2568 อยู่ที่ 27.5911 บาท ปรับเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าเล็กน้อยครับ ส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของกองทุนก็หลักพันล้านบาทเลยทีเดียว กองทุนนี้เริ่มจัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2548 ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซื้อครั้งแรกหรือครั้งต่อไปก็ขั้นต่ำ 500 บาทเองครับ สะดวกมากๆ ช่องทางซื้อขายก็หลากหลาย

แต่ที่ต้องดูดีๆ เลยก็คือ “ผลการดำเนินงาน” ครับ จากข้อมูลผลการดำเนินงานของกองทุน K-SET50 ณ วันที่ 22 เมษายน 2568 จะเห็นว่าผลตอบแทนในช่วงสั้นๆ เช่น YTD (ตั้งแต่ต้นปี) หรือ 3 เดือน 6 เดือน หรือแม้กระทั่ง 1 ปี 3 ปี 5 ปี ย้อนหลังเนี่ย ตัวเลขส่วนใหญ่ติดลบนะครับ! เช่น YTD ลบไป 17.57% (ใกล้เคียงตัวชี้วัดที่ลบ 17.60%) หรือ 1 ปี ย้อนหลัง (ต่อปี) ลบไป 8.96% (เทียบตัวชี้วัดที่ลบ 8.38%) ตัวเลขพวกนี้ย้ำเตือนเราชัดๆ เลยครับว่า “ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต” นะครับ ตลาดหุ้นมันมีขึ้นมีลงจริงๆ

นอกจากผลการดำเนินงานแล้ว กองทุนก็มี “ค่าธรรมเนียม” ที่เรียกเก็บทั้งจากตัวกองทุนเอง (เช่น ค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน ค่าผู้ดูแลผลประโยชน์ ค่า นายทะเบียน) และจากผู้ถือหน่วย (เช่น ค่าธรรมเนียมซื้อ ค่าธรรมเนียมขายคืน หรือค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน) ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีอัตราและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป บางทีอาจจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมขายด้วย ก็ต้องไปดูรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนดีๆ ครับ เพราะค่าธรรมเนียมพวกนี้ก็มีผลต่อผลตอบแทนสุทธิที่เราจะได้รับเหมือนกัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องจำให้ขึ้นใจเวลาดูข้อมูลการเงินเหล่านี้ โดยเฉพาะถ้าดูจากเว็บไซต์ต่างๆ เนี่ยคือ “ข้อมูลอาจจะไม่เรียลไทม์ หรือไม่แม่นยำเท่าข้อมูลที่ใช้ซื้อขายจริงในตลาด” นะครับ และข้อมูลเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาหรือใช้งานส่วนบุคคลเท่านั้น เราไม่ควรนำข้อมูลพวกนี้ไปใช้อ้างอิงในการตัดสินใจซื้อขายจริงโดยตรง เพราะถ้าเกิดความเสียหายจากการพึ่งพาข้อมูลนี้ ผู้ให้ข้อมูล (อย่าง Fusion Media ที่เป็นแหล่งข้อมูลในบางส่วน) หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ เขาไม่รับผิดชอบนะครับ

และอีกเรื่องคือ ข้อมูลพวกนี้มีเจ้าของ มีลิขสิทธิ์ ห้ามนำไปทำซ้ำ เผยแพร่ หรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ เหมือนไปลอกการบ้านเพื่อนส่งครูไง โดนจับได้จะยุ่งเอานะ

สรุปง่ายๆ การลงทุนใน SET50 ไม่ว่าจะดู กราฟ set50 เองโดยตรง เทรดฟิวเจอร์ส หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงสูงครับ ตลาดมันผันผวนได้เสมอ เหมือนสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน เดี๋ยวก็แดดออก เดี๋ยวก็ฝนตก ผลการดำเนินงานในอดีตที่ว่าติดลบๆ ในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ตลาดหุ้นขาลงมันก็เกิดขึ้นได้จริง

⚠️ ดังนั้น คำแนะนำสุดท้ายจากคอลัมนิสต์ผู้หวังดีคนนี้คือ ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ SET50 หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้:
1. **ศึกษาข้อมูลให้เยอะๆ:** ทำความเข้าใจสินค้าที่เราจะลงทุนให้ละเอียด ทั้งนโยบาย ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม ลองดู กราฟ set50 เพื่อดูแนวโน้ม
2. **ประเมินตัวเอง:** เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน วัตถุประสงค์การลงทุนคืออะไร เงินที่เอามาลงทุนเป็นเงินเย็นจริงๆ หรือเปล่า? (เงินเย็นคือเงินที่ถ้าหายไปก็ไม่เดือดร้อนในชีวิตประจำวันน่ะครับ)
3. **อย่าเชื่อข้อมูลออนไลน์ทั้งหมดแบบ 100%:** โดยเฉพาะถ้ามันไม่ใช่แหล่งข้อมูลเรียลไทม์สำหรับการซื้อขายจริง
4. **อ่านเอกสารสำคัญ:** พวกหนังสือชี้ชวน (Prospectus) หรือเอกสาร Fact Sheet เป็นข้อมูลทางการที่จำเป็นต้องอ่านและทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ
5. **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** ถ้าไม่แน่ใจ ถามคนที่มีความรู้ครับ ดีกว่าเสียเงินทั้งหมดไปเพราะไม่รู้จริง

จำไว้ว่า การลงทุนไม่ใช่การพนันนะครับ มันคือการวางแผนและการบริหารความเสี่ยง ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติ และประสบความสำเร็จกับการเดินทางในโลกการเงินครับ!

Leave a Reply